ราคาทองคำยังคงทำระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่อง หลังตัวเลขเงินเฟ้อที่ไม่ร้อนแรง ทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะยังคงมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อไป ส่งผลให้ทองคำทรงตัวอยู่ในระดับสูง
วรุต รุ่งขำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ YLG Bullion & Futures เปิดเผยว่า ในเช้าวันจันทร์ที่ผ่านมา ราคา Gold Spot ทำ All Time High ใหม่ที่ระดับ 3,799 เหรียญดอลลาร์ต่อออนซ์ ใกล้แนวต้านจิตวิทยา 3,800 เหรียญมาก ขณะที่ทองคำแท่ง 96.5% ของไทยทำ All Time High ใหม่ที่ราคาขายออก 57,900 บาทต่อบาททองคำ ใกล้จะเห็น 60,000 บาทแล้ว
เปิดสาเหตุหนุนราคาทองคำพุ่ง!
1. สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างประเทศ
ทองคำทำหน้าที่ได้ดีในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย โดยภาพความตึงเครียดระหว่างประเทศเป็นแรงกระตุ้นสำคัญ ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา รัสเซียใช้โดรนกว่า 600 ลำและยิงขีปนาวุธกว่า 10 ลูกถล่มยูเครน
ประเด็นที่ตลาดให้ความสนใจคือการที่รัสเซียใช้ขีปนาวุธ Kinzha ซึ่งเป็นขีปนาวุธที่มีความเร็วเหนือเสียงระดับ 10 มัค เป็นการแสดงอำนาจทางการทหารครั้งใหญ่เพื่อข่มขวัญนาโตและสหรัฐ ทำให้นักลงทุนประเมินว่าสถานการณ์มีแนวโน้มขยายวงกว้างมากขึ้น
2. ความหวังเฟดลดดอกเบี้ย
ภาพเงินเฟ้อที่ไม่ร้อนแรงทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐจะยังคงปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ต่อ นอกจากนี้ ในสัปดาห์นี้ยังมีสถานการณ์ Government Shutdown หรือการปิดหน่วยงานราชการของภาครัฐ ซึ่งอาจสร้างความผันผวนต่อระบบเศรษฐกิจสหรัฐ
3. แรงซื้อจากกองทุนขนาดใหญ่
ราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นแรงส่วนหนึ่งมาจากแรงซื้อของกองทุนขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกองทุน ETF และตลาดเอเชีย โดยกองทุน SPDR Gold มีการซื้อทองคำเพิ่มเติมในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา 8.87 ตัน ทำให้มีการถือครองทองคำอยู่ที่ระดับ 1,005.72 ตัน
ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสัปดาห์นี้
วรุตระบุว่า ในสัปดาห์นี้จะมีชุดข้อมูลตัวเลขจ้างงานสำคัญของสหรัฐ ตั้งแต่การจ้างงานเอกชน การขอรับสวัสดิการว่างงาน และตัวเลขไฮไลท์คือการจ้างงานนอกภาคการเกษตร
จากข้อมูลผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานประจำสัปดาห์ที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น และคนตกงานในสหรัฐมีสัญญาณเร่งตัวขึ้น ทำให้ตลาดมองว่าตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรในสัปดาห์นี้น่าจะไม่ดีมากนัก
ตลาดคาดการณ์ว่าจะอยู่ราว 50,000 กว่าตำแหน่ง ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ 170,000-200,000 ตำแหน่งมาก ถือว่าเป็นตัวเลขที่ยังคงน่าวิตกกังวล และเป็นปัจจัยบวกประคองราคาทองคำ
ปัจจัยสำคัญจากจีน
สิ่งที่ต้องจับตาในสัปดาห์นี้คือการประชุมโปลิตบูโรของจีนในวันที่ 30 กันยายนนี้ เพื่อกำหนดนโยบายการเงินและนโยบายเศรษฐกิจสำหรับ 5 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2569-2573)
นักลงทุนคาดว่าจีนอาจมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและป้องกันความผันผวนจากสงครามการค้าและความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งอาจทำให้เม็ดเงินไหลเข้ามาซื้อทองคำเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม หลังการประชุมจะเข้าสู่เทศกาล Golden Week ที่จีนจะหยุดยาวระหว่างวันที่ 1-7 ตุลาคม ซึ่งอาจทำให้ปริมาณการซื้อขายทองคำในฝั่งจีนชะลอตัว และแรงดันทองคำให้ทำ All Time High อย่างต่อเนื่องอาจเบาบางลง
คำแนะนำการลงทุน
สำหรับการลงทุนในตลาดทองคำ วรุตระบุว่า โมเมนตัมของทองคำยังมองว่าเป็นบวกอย่างชัดเจน แต่ต้องระวังแรงขายทำกำไรและความผันผวนของราคา
สำหรับ Gold Spot
แนวรับย่อย: 3,774 และ 3,759 เหรียญดอลลาร์ต่อออนซ์
- หากราคาทรงตัวเหนือแนวรับนี้ได้ ยังถือว่าเป็นแรงขายทำกำไรระยะสั้นเท่านั้น นักลงทุนที่มีทองคำสามารถถือต่อได้ หรือใครที่ไม่มีสามารถเข้าช้อปซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว
- หากหลุดแนวรับนี้ อาจเห็นทองคำปรับตลาดต่ออีก 50 เหรียญ ไปยังแนวรับสำคัญที่ 3,770 เหรียญดอลลาร์
แนวต้าน: 3,800 และ 3,819 เหรียญดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับทองไทย
แม้ Gold Spot จะขยับขึ้นได้ดี แต่ค่าเงินบาทที่ทรงตัวอยู่แถวระดับ 32.25-32.27 บาทต่อดอลลาร์ หลังธนาคารแห่งประเทศไทยเข้ามาดูแล ทำให้ทองไทยปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นสอดคล้องกับ Gold Spot ได้เป็นอย่างดี
แนวรับแรก: 57,500-57,700 บาทต่อบาททองคำ
- หากราคาไม่หลุดแนวรับนี้ ยังแนะนำเข้าซื้อได้
แนวต้าน: 58,150 บาท (เทียบเท่า Gold Spot ที่ 3,800 เหรียญ) และ 58,450 บาทต่อบาททองคำ
ผลตอบแทนทองคำปีนี้: สูงกว่า 10% หรือประมาณ 15,500 บาทต่อบาททองคำ ถือเป็นผลตอบแทนที่สูงมากและไม่เคยเห็นมานานแล้ว
คำเตือน: นักลงทุนควรติดตามการเคลื่อนไหวของราคาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผู้ที่ถือครองทองคำจำนวนมาก และควรบริหารความเสี่ยงด้วยการตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสม