ราคาทองคำเปิดตลาดเช้านี้ (จันทร์ 29 ก.ย.) เมื่อเวลา 9.04 น. ราคาปรับเพิ่ม 300 บาท ราคาทองคำแท่งวันนี้ ขายออกบาทละ 57,700.00 บาท ราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 58,500.00 บาท ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ล่าสุดราคาทองไทยมีการเปลี่ยนแปลงแล้วเป็นึชครั้งที่ 5 เมื่อเวลา 10.04 น. ปรับเพิ่มขึ้น 500 บาท ราคาทองคำแท่ง ขายออกบาทละ 57,900 บาท ทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 58,700 บาท
ขณะที่ราคาทองคำในตลาด COMEX อยู่ที่ 3,823.40 ดอลลาร์ เพิ่ม+15.20 หรือ 0.40% เมื่อเวลา 10.12 น
ด้านฮั่วเซงเฮงได้รายงานราคาทองโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 6 ทำจุดสูงสุดที่ 3,791 ดอลลาร์ ได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้งในปีนี้ หลังจากที่มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% และคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) จะปรับลดอีก 2 ครั้งภายในสิ้นปีนี้ รวม 0.50% พร้อมคาดว่าจะมีการปรับลดอีก 0.50% ในปี 2569 และอีก 0.25% ในปี 2570 ขณะที่ช่วงกลางสัปดาห์ หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมที่ Greater Providence Chamber of Commerce (GPCC) แสดงความเห็นในเชิงระมัดระวังเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ปัจจุบันเฟดกำลังเผชิญความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่ดีดตัวขึ้น และการจ้างงานที่มีแนวโน้มลดลง ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่ท้าทายสำหรับเฟด และทำให้เฟดจำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อและการสนับสนุนการจ้างงาน ซึ่งสถานการณ์ที่พาวเวลอธิบายสอดคล้องกับภาวะ stagflation ซึ่งหมายถึงการเกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวควบคู่กับเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น แม้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันไม่รุนแรงเท่ากับที่สหรัฐเคยเผชิญในช่วงทศวรรษ 1970 และต้นทศวรรษ 1980 แต่ก็ยังเป็นโจทย์ที่ท้าทายต่อการกำหนดนโยบายของเฟด
อย่างไรก็ดี นายพาวเวลมีความเห็นว่า ไม่มีความกังวลต่อแนวทางนโยบายปัจจุบันของเฟด แม้จะส่งสัญญาณต่อความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม หากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) เห็นความจำเป็นในการผ่อนคลายนโยบายมากขึ้น ก่อนที่จะกล่าวทิ้งท้ายโดยพาวเวลระบุว่า เฟดยังคงติดตามภาวะการเงินโดยรวมอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินว่านโยบายที่ดำเนินอยู่ส่งผลในทิศทางที่สอดคล้องกับเป้าหมายหรือไม่ พร้อมยอมรับว่า หากพิจารณาจากตัวชี้วัดหลายด้าน เช่น ตลาดหุ้น พบว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง
“เฟด” เผชิญแรงกดดันไม่หยุด เบสเซนท์เร่งคัดเลือกประธานใหม่แทนพาวเวล
สก็อต เบสเซนท์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เตรียมสัมภาษณ์ผู้สมัครจำนวนมากในสัปดาห์นี้เพื่อคัดเลือกประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) คนใหม่แทนเจอโรม พาวเวล โดยตั้งเป้าจะคัดเลือกรอบแรกให้เสร็จภายในสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม แม้ไม่เปิดเผยชื่อผู้สมัครแต่ยอมรับว่าประทับใจกับศักยภาพของหลายคน พร้อมย้ำว่าผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งดังกล่าวต้องมี “ความคิดเปิดกว้าง” อีกทั้งยังวิจารณ์พาวเวลว่าไม่เร่งลดดอกเบี้ยเร็วกว่านี้ ทั้งยังยกตัวอย่างสตีเฟน มิแรน กรรมการ Fed คนใหม่ที่โดนัลด์ ทรัมป์แต่งตั้ง ซึ่งเสนอให้ลดดอกเบี้ย 0.50% แต่ที่ประชุมกลับมีมติลดเพียง 0.25% อีกทั้งยังตั้งข้อสังเกตว่าการที่ Fed ไม่ได้กำหนดเป้าหมายการปรับลดดอกเบี้ยรวม 1.00–1.50% ภายในสิ้นปี ถือเป็นเรื่องน่าประหลาดใจ เมื่อพิจารณาจากการที่ข้อมูลการจ้างงานล่าสุดถูกปรับลดลง พร้อมทั้งเปรียบการประชุม Fed ควรเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเปิดกว้าง ไม่ยึดติดกับแนวทางเดิมซ้ำ ๆ พร้อมเน้นว่าถึงเวลาแล้วที่องค์กรควรได้ “เลือดใหม่” และยังยืนยันแผนจัดสัมภาษณ์รอบสองก่อนจะเสนอบัญชีรายชื่อผู้สมัครที่แข็งแกร่ง 3–4 คนให้ประธานาธิบดีทรัมป์พิจารณา โดยชี้ว่าการปรับลดตัวเลขการจ้างงานล่าสุดเป็นสัญญาณว่ามีปัญหาเชิงโครงสร้างซ่อนอยู่ แม้จะยังไม่กังวลว่าเศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่สิ่งที่น่าห่วงคือผลกระทบเป็นวงกว้างกับกลุ่มรายได้น้อยที่ต้องเผชิญภาระหนักกว่ากลุ่มอื่น
ทรัมป์นัดคุยผู้นำสภาคองเกรส 29 ก.ย. เร่งหาข้อยุติงบฯ ก่อนเกิด “ชัตดาวน์”
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมพบผู้นำพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันในสภาคองเกรสวันที่ 29 ก.ย. ตามเวลาสหรัฐฯ เพื่อเจรจาจัดสรรงบประมาณรัฐบาลก่อนถึงเส้นตาย 30 ก.ย. เพื่อหลีกเลี่ยงการชัตดาวน์หน่วยงานรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ตลาดการเงินจับตาความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ อาจเผชิญภาวะชัตดาวน์หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ทัน ซึ่งก่อนหน้านี้ วุฒิสภาสหรัฐได้ปฏิเสธข้อเสนอการจัดสรรงบชั่วคราวจากทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต ทำให้การจัดทำร่างงบประมาณยังไม่คืบหน้า นายชัค ชูเมอร์ ผู้นำพรรคเดโมแครตในวุฒิสภา จึงเรียกร้องให้ทรัมป์เข้าพบเพื่อหาทางออกร่วมกัน แต่ทรัมป์เคยประกาศยกเลิกการประชุมกับผู้นำเดโมแครต โดยให้เหตุผลว่าการเจรจาในเวลานั้นจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์
ทรัมป์ระบุว่า ข้อเสนอของเดโมแครตเป็น “ข้อเรียกร้องที่ไม่จริงจังและไร้สาระ” พร้อมกล่าวหาว่าเดโมแครตฝ่ายซ้ายต้องการงบประมาณใหม่กว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อดำเนินนโยบายที่เขาคัดค้าน เช่น การให้บริการสาธารณสุขฟรีแก่ผู้อพยพผิดกฎหมาย การใช้เงินภาษีสนับสนุนการผ่าตัดแปลงเพศสำหรับผู้เยาว์ การปล่อยให้มีรายชื่อผู้เสียชีวิตในบัญชี Medicaid การเปิดทางให้ผู้อพยพผิดกฎหมายที่เป็นอาชญากรได้รับสิทธิประโยชน์จากรัฐ การผ่อนปรนมาตรการควบคุมชายแดน การอนุญาตให้ผู้ชายแข่งขันในกีฬาสำหรับผู้หญิง และการให้สิทธิ์ผ่าตัดแปลงเพศอย่างกว้างขวาง อีกทั้งยังย้ำว่าทัศนคติและนโยบายเหล่านี้เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีทั้งใน 7 รัฐสมรภูมิและชนะคะแนนเสียงรวม (popular vote) พร้อมประกาศว่าพร้อมจะกลับมาเจรจากับเดโมแครตอีกครั้ง หากอีกฝ่ายยอมรับ “หลักการ” ที่เขากำหนด เพื่อให้สามารถผ่านกฎหมายงบประมาณและให้รัฐบาลดำเนินงานต่อได้ โดยเขาเรียกร้องให้ผู้นำเดโมแครตปฏิบัติหน้าที่และตัดสินใจเพื่อประโยชน์ของประเทศก่อนถึงเส้นตายสิ้นเดือนนี้
ทรัมป์ขึ้นภาษีชุดใหม่ ยา–รถบรรทุก–เฟอร์นิเจอร์ ส่อดันราคาสินค้าพุ่ง
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินหน้าขึ้นภาษีชุดใหม่ มุ่งเป้าสินค้าเฉพาะกลุ่มทั้ง ยา รถบรรทุกขนาดใหญ่ ตู้ครัว ตู้อ่างล้างหน้า และเฟอร์นิเจอร์บุผ้า โดยจะเก็บ ภาษีนำเข้า 100% สำหรับยาที่มีตราสินค้า เริ่ม 1 ตุลาคม ยกเว้นบริษัทที่ย้ายฐานผลิตเข้าสหรัฐฯ พร้อมจะเก็บภาษี 25% สำหรับรถบรรทุก 50% สำหรับตู้ครัวและอ่างล้างหน้า และ 30% สำหรับเฟอร์นิเจอร์บุผ้า ขณะที่ทรัมป์อธิบายว่ามาตรการนี้มีขึ้นเพื่อปกป้องผู้ผลิตในประเทศจากสินค้านำเข้าที่ “ทะลักเข้าสหรัฐฯ” โดยหวังช่วยผู้ผลิตท้องถิ่นอย่าง Peterbilt และ Mack Trucks ทว่ามาตรการดังกล่าวจะกระทบผู้ผลิตยาจากสหราชอาณาจักร เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และญี่ปุ่น ซึ่งเพียงอังกฤษประเทศเดียวก็ส่งออกยามูลค่ากว่า 6 พันล้านดอลลาร์ไปยังสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา
ด้านหอการค้าสหรัฐฯ เตือนว่ารถบรรทุกจำนวนมากยังพึ่งพาชิ้นส่วนจากพันธมิตรอย่างเม็กซิโก แคนาดา และญี่ปุ่น การเลี่ยงการนำเข้าแทบเป็นไปไม่ได้ และจะดันต้นทุนให้สูงขึ้น ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญอย่างเดบราห์ เอล์มส ระบุว่ามาตรการนี้แม้ช่วยผู้ผลิตในประเทศ แต่อาจส่งผล “เลวร้าย” ต่อผู้บริโภค เพราะราคาสินค้าจะสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
มาตรการภาษีรอบใหม่จึงถูกมองว่าเป็นการขยายแนวรบทางการค้าของทรัมป์ หลังจากก่อนหน้านี้ได้เก็บภาษีเหล็ก อะลูมิเนียม รถยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์มาแล้ว ซึ่งในสัปดาห์นี้ต้องจับตาการตอบโต้จากคู่ค้า รวมถึงผลกระทบต่อตลาดและผู้บริโภคในสหรัฐฯ เอง
จีนกำลังเร่งบทบาทสู่การเป็น “ศูนย์กลางทองคำโลก”
ธนาคารกลางจีน (PBOC) ใช้ตลาดทองคำเซี่ยงไฮ้ (SGE) เชิญชวนประเทศพันธมิตรให้นำทองคำสำรองมาฝากไว้ในจีน เพื่อเสริมอิทธิพลทางการเงิน ลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ และลดบทบาทของศูนย์กลางการเงินตะวันตก ขณะเดียวกัน PBOC เองก็ยังคงเดินหน้าซื้อทองคำติดต่อกันเป็นเวลา 10 เดือน ช่วยหนุนราคาทองคำให้ทำสถิติสูงกว่า 3,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์
แผนการของจีนคือการจัดเก็บทองคำสำรองของประเทศต่าง ๆ ไว้ในคลังที่เชื่อมโยงกับ SGE International Board โดยเน้นการซื้อทองคำใหม่ ไม่ใช่การย้ายสำรองที่มีอยู่ แม้ว่าจะยังห่างไกลจากสหราชอาณาจักรซึ่งถือทองคำมากกว่า 5,000 ตัน (ราว 600,000 ล้านดอลลาร์) แต่จีนยังคงครองสถานะประเทศผู้บริโภคทองคำรายใหญ่ที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ เหรียญ หรือแท่งทอง
Goldman Sachs ให้มุมมองหากการถือครองพันธบัตรสหรัฐโดยภาคเอกชนถูกเปลี่ยนเป็นทองคำเพียง 1% ราคาทองคำอาจพุ่งแตะ 5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ อีกทั้งจีนยังเร่งเปิดตลาดทองคำมากขึ้น เช่น การจัดตั้งคลังเก็บทองในต่างประเทศ การเปิดสัญญาซื้อขายนอกประเทศในฮ่องกง รวมถึงการผ่อนคลายกฎการนำเข้าทองคำ การเสนอบริการฝากทองคำสำรองจึงถูกมองว่าเป็นทางเลือกเชิงยุทธศาสตร์ในการลดความเสี่ยงจากการถูกกีดกันออกจากระบบการเงินโลก ซึ่งสะท้อนจากเหตุการณ์ในปี 2565 เมื่อสหรัฐและพันธมิตรอายัดเงินทุนสำรองของรัสเซีย ทำให้หลายประเทศตระหนักถึงความจำเป็นในการกระจายความเสี่ยงทางการเงินมากขึ้น
ตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ต้องติดตามในสัปดาห์
30 กันยายน
· เวลา 21.00 น. – ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน เดือนส.ค. นักวิเคราะห์คาดการณ์ลดลงสู่ระดับ 7.15 ล้านตำแหน่ง จากระดับ 7.18 ล้านตำแหน่ง ในเดือนก.ค.
1 ตุลาคม
· เวลา 19.15 น. – การจ้างงานนอกภาคเกษตร (ADP) เดือนก.ย. นักวิเคราะห์คาดการณ์ลดลงสู่ระดับ 53,000 ตำแหน่ง จากระดับ 54,000 ตำแหน่ง ในเดือนส.ค.
· เวลา 21.00 น. – ดัชนี PMI ภาคการผลิตโดย ISM เดือนก.ย. นักวิเคราะห์คาดการณ์เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 49.1 จากระดับ 48.7 ในเดือนก.ค.
3 ตุลาคม
· เวลา 19.30 น. – การจ้างงานนอกภาคเกษตร เดือนก.ย. นักวิเคราะห์คาดการณ์เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 51,000 ตำแหน่ง จากระดับ 22,000 ตำแหน่ง ในเดือนส.ค. และ อัตราการว่างงาน เดือนก.ย. นักวิเคราะห์คาดการณ์ทรงตัวที่ 4.3% จากเดือนส.ค.
· เวลา 21.00 น. - ดัชนี PMI ภาคการบริการโดย ISM เดือนก.ย. นักวิเคราะห์คาดการณ์ทรงตัวที่ระดับ 52.0 จากเดือนส.ค.
แนวโน้มราคาทอง
ภาพรวมในสัปดาห์นี้ แม้ราคาทองคำโลกยังคงปรับตัวในทิศทางขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ระยะสั้นราคาทองคล้ายเกิดภาวะ Double Top อีกทั้งสัญญาณ RSI อยู่ใกล้ระดับ Overbought ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าราคามีโอกาสปรับฐานได้ในเร็วๆ นี้ โดยมีแนวรับสำคัญอยู่ที่ 3,720 ดอลลาร์ ตามเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ EMA50 (ของกราฟราย 4 ชั่วโมง) และหากหลุดแนวรับระดับดังกล่าวจะมีแนวรับถัดไป 3,665 ดอลลาร์ ขณะที่แนวต้านอยู่ในกรอบ 3,790 – 3,800 ดอลลาร์
สำหรับนักลงทุนทองคำแท่ง แนะนำทยอยขายทำกำไรเมื่อราคาปรับขึ้นบริเวณ 57,700 – 57,800 บาท การเข้าซื้อกลับควรใช้กลยุทธ์ทยอยสะสมเล็กน้อย เนื่องจากช่วงนี้ราคาทองค่อนข้างปรับตัวขึ้นมาสูงมาก การปรับฐานก็มีโอกาสปรับลงแรงได้เช่นกัน และมีจุด Stop loss หากราคาทองโลกหลุดต่ำกว่าแนวรับจิตวิทยาที่ 3,700 ดอลลาร์