ชัตดาวน์สหรัฐฯ ใกล้เข้ามา ทองคำจะพุ่งต่อหรือปรับฐาน?

29 ก.ย. 2568 - 03:17

  • Gold Bullish: ชัตดาวน์สหรัฐฯ – ธนาคารกลางซื้อทอง – ภาษีทรัมป์ + ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์

  • Gold Bearish: RSI เข้าโซน Overbought เสี่ยงพักฐาน แนวรับ 3,720 ดอลลาร์ / แนวต้าน 3,800 ดอลลาร์

  • กลยุทธ์: ทยอยขายทำกำไรโซน 57,700–57,800 บาท และสะสมเมื่ออ่อนตัว โดยตั้ง Stop loss หากหลุด 3,700 ดอลลาร์

ชัตดาวน์สหรัฐฯ ใกล้เข้ามา ทองคำจะพุ่งต่อหรือปรับฐาน?

ราคาทองคำเปิดตลาดเช้านี้ (จันทร์ 29 ก.ย.) เมื่อเวลา 9.04 น. ราคาปรับเพิ่ม 300 บาท ราคาทองคำแท่งวันนี้ ขายออกบาทละ 57,700.00 บาท ราคาทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 58,500.00 บาท ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ล่าสุดราคาทองไทยมีการเปลี่ยนแปลงแล้วเป็นึชครั้งที่ 5 เมื่อเวลา 10.04 น. ปรับเพิ่มขึ้น 500 บาท ราคาทองคำแท่ง ขายออกบาทละ 57,900 บาท ทองรูปพรรณ ขายออกบาทละ 58,700 บาท

ขณะที่ราคาทองคำในตลาด COMEX อยู่ที่ 3,823.40 ดอลลาร์ เพิ่ม+15.20 หรือ 0.40% เมื่อเวลา 10.12 น

ด้านฮั่วเซงเฮงได้รายงานราคาทองโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 6 ทำจุดสูงสุดที่ 3,791 ดอลลาร์ ได้รับแรงหนุนจากความคาดหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 2 ครั้งในปีนี้ หลังจากที่มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% และคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) จะปรับลดอีก 2 ครั้งภายในสิ้นปีนี้ รวม 0.50% พร้อมคาดว่าจะมีการปรับลดอีก 0.50% ในปี 2569 และอีก 0.25% ในปี 2570 ขณะที่ช่วงกลางสัปดาห์ หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมที่ Greater Providence Chamber of Commerce (GPCC) แสดงความเห็นในเชิงระมัดระวังเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ปัจจุบันเฟดกำลังเผชิญความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่ดีดตัวขึ้น และการจ้างงานที่มีแนวโน้มลดลง ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่ท้าทายสำหรับเฟด และทำให้เฟดจำเป็นต้องสร้างสมดุลระหว่างการควบคุมเงินเฟ้อและการสนับสนุนการจ้างงาน ซึ่งสถานการณ์ที่พาวเวลอธิบายสอดคล้องกับภาวะ stagflation ซึ่งหมายถึงการเกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวควบคู่กับเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น แม้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันไม่รุนแรงเท่ากับที่สหรัฐเคยเผชิญในช่วงทศวรรษ 1970 และต้นทศวรรษ 1980 แต่ก็ยังเป็นโจทย์ที่ท้าทายต่อการกำหนดนโยบายของเฟด

อย่างไรก็ดี นายพาวเวลมีความเห็นว่า ไม่มีความกังวลต่อแนวทางนโยบายปัจจุบันของเฟด แม้จะส่งสัญญาณต่อความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม หากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) เห็นความจำเป็นในการผ่อนคลายนโยบายมากขึ้น ก่อนที่จะกล่าวทิ้งท้ายโดยพาวเวลระบุว่า เฟดยังคงติดตามภาวะการเงินโดยรวมอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินว่านโยบายที่ดำเนินอยู่ส่งผลในทิศทางที่สอดคล้องกับเป้าหมายหรือไม่ พร้อมยอมรับว่า หากพิจารณาจากตัวชี้วัดหลายด้าน เช่น ตลาดหุ้น พบว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง

 “เฟด” เผชิญแรงกดดันไม่หยุด เบสเซนท์เร่งคัดเลือกประธานใหม่แทนพาวเวล

สก็อต เบสเซนท์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เตรียมสัมภาษณ์ผู้สมัครจำนวนมากในสัปดาห์นี้เพื่อคัดเลือกประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) คนใหม่แทนเจอโรม พาวเวล โดยตั้งเป้าจะคัดเลือกรอบแรกให้เสร็จภายในสัปดาห์แรกของเดือนตุลาคม แม้ไม่เปิดเผยชื่อผู้สมัครแต่ยอมรับว่าประทับใจกับศักยภาพของหลายคน พร้อมย้ำว่าผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งดังกล่าวต้องมี “ความคิดเปิดกว้าง” อีกทั้งยังวิจารณ์พาวเวลว่าไม่เร่งลดดอกเบี้ยเร็วกว่านี้ ทั้งยังยกตัวอย่างสตีเฟน มิแรน กรรมการ Fed คนใหม่ที่โดนัลด์ ทรัมป์แต่งตั้ง ซึ่งเสนอให้ลดดอกเบี้ย 0.50% แต่ที่ประชุมกลับมีมติลดเพียง 0.25% อีกทั้งยังตั้งข้อสังเกตว่าการที่ Fed ไม่ได้กำหนดเป้าหมายการปรับลดดอกเบี้ยรวม 1.00–1.50% ภายในสิ้นปี ถือเป็นเรื่องน่าประหลาดใจ เมื่อพิจารณาจากการที่ข้อมูลการจ้างงานล่าสุดถูกปรับลดลง พร้อมทั้งเปรียบการประชุม Fed ควรเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเปิดกว้าง ไม่ยึดติดกับแนวทางเดิมซ้ำ ๆ พร้อมเน้นว่าถึงเวลาแล้วที่องค์กรควรได้ “เลือดใหม่” และยังยืนยันแผนจัดสัมภาษณ์รอบสองก่อนจะเสนอบัญชีรายชื่อผู้สมัครที่แข็งแกร่ง 3–4 คนให้ประธานาธิบดีทรัมป์พิจารณา โดยชี้ว่าการปรับลดตัวเลขการจ้างงานล่าสุดเป็นสัญญาณว่ามีปัญหาเชิงโครงสร้างซ่อนอยู่ แม้จะยังไม่กังวลว่าเศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่สิ่งที่น่าห่วงคือผลกระทบเป็นวงกว้างกับกลุ่มรายได้น้อยที่ต้องเผชิญภาระหนักกว่ากลุ่มอื่น

ทรัมป์นัดคุยผู้นำสภาคองเกรส 29 ก.ย. เร่งหาข้อยุติงบฯ ก่อนเกิด “ชัตดาวน์”

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมพบผู้นำพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันในสภาคองเกรสวันที่ 29 ก.ย. ตามเวลาสหรัฐฯ เพื่อเจรจาจัดสรรงบประมาณรัฐบาลก่อนถึงเส้นตาย 30 ก.ย. เพื่อหลีกเลี่ยงการชัตดาวน์หน่วยงานรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ตลาดการเงินจับตาความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯ อาจเผชิญภาวะชัตดาวน์หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ทัน ซึ่งก่อนหน้านี้ วุฒิสภาสหรัฐได้ปฏิเสธข้อเสนอการจัดสรรงบชั่วคราวจากทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต ทำให้การจัดทำร่างงบประมาณยังไม่คืบหน้า นายชัค ชูเมอร์ ผู้นำพรรคเดโมแครตในวุฒิสภา จึงเรียกร้องให้ทรัมป์เข้าพบเพื่อหาทางออกร่วมกัน แต่ทรัมป์เคยประกาศยกเลิกการประชุมกับผู้นำเดโมแครต โดยให้เหตุผลว่าการเจรจาในเวลานั้นจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์

ทรัมป์ระบุว่า ข้อเสนอของเดโมแครตเป็น “ข้อเรียกร้องที่ไม่จริงจังและไร้สาระ” พร้อมกล่าวหาว่าเดโมแครตฝ่ายซ้ายต้องการงบประมาณใหม่กว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อดำเนินนโยบายที่เขาคัดค้าน เช่น การให้บริการสาธารณสุขฟรีแก่ผู้อพยพผิดกฎหมาย การใช้เงินภาษีสนับสนุนการผ่าตัดแปลงเพศสำหรับผู้เยาว์ การปล่อยให้มีรายชื่อผู้เสียชีวิตในบัญชี Medicaid การเปิดทางให้ผู้อพยพผิดกฎหมายที่เป็นอาชญากรได้รับสิทธิประโยชน์จากรัฐ การผ่อนปรนมาตรการควบคุมชายแดน การอนุญาตให้ผู้ชายแข่งขันในกีฬาสำหรับผู้หญิง และการให้สิทธิ์ผ่าตัดแปลงเพศอย่างกว้างขวาง อีกทั้งยังย้ำว่าทัศนคติและนโยบายเหล่านี้เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีทั้งใน 7 รัฐสมรภูมิและชนะคะแนนเสียงรวม (popular vote) พร้อมประกาศว่าพร้อมจะกลับมาเจรจากับเดโมแครตอีกครั้ง หากอีกฝ่ายยอมรับ “หลักการ” ที่เขากำหนด เพื่อให้สามารถผ่านกฎหมายงบประมาณและให้รัฐบาลดำเนินงานต่อได้ โดยเขาเรียกร้องให้ผู้นำเดโมแครตปฏิบัติหน้าที่และตัดสินใจเพื่อประโยชน์ของประเทศก่อนถึงเส้นตายสิ้นเดือนนี้

ทรัมป์ขึ้นภาษีชุดใหม่ ยา–รถบรรทุก–เฟอร์นิเจอร์ ส่อดันราคาสินค้าพุ่ง

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เดินหน้าขึ้นภาษีชุดใหม่ มุ่งเป้าสินค้าเฉพาะกลุ่มทั้ง ยา รถบรรทุกขนาดใหญ่ ตู้ครัว ตู้อ่างล้างหน้า และเฟอร์นิเจอร์บุผ้า โดยจะเก็บ ภาษีนำเข้า 100% สำหรับยาที่มีตราสินค้า เริ่ม 1 ตุลาคม ยกเว้นบริษัทที่ย้ายฐานผลิตเข้าสหรัฐฯ พร้อมจะเก็บภาษี 25% สำหรับรถบรรทุก 50% สำหรับตู้ครัวและอ่างล้างหน้า และ 30% สำหรับเฟอร์นิเจอร์บุผ้า ขณะที่ทรัมป์อธิบายว่ามาตรการนี้มีขึ้นเพื่อปกป้องผู้ผลิตในประเทศจากสินค้านำเข้าที่ “ทะลักเข้าสหรัฐฯ” โดยหวังช่วยผู้ผลิตท้องถิ่นอย่าง Peterbilt และ Mack Trucks ทว่ามาตรการดังกล่าวจะกระทบผู้ผลิตยาจากสหราชอาณาจักร เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และญี่ปุ่น ซึ่งเพียงอังกฤษประเทศเดียวก็ส่งออกยามูลค่ากว่า 6 พันล้านดอลลาร์ไปยังสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา

ด้านหอการค้าสหรัฐฯ เตือนว่ารถบรรทุกจำนวนมากยังพึ่งพาชิ้นส่วนจากพันธมิตรอย่างเม็กซิโก แคนาดา และญี่ปุ่น การเลี่ยงการนำเข้าแทบเป็นไปไม่ได้ และจะดันต้นทุนให้สูงขึ้น ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญอย่างเดบราห์ เอล์มส ระบุว่ามาตรการนี้แม้ช่วยผู้ผลิตในประเทศ แต่อาจส่งผล “เลวร้าย” ต่อผู้บริโภค เพราะราคาสินค้าจะสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

มาตรการภาษีรอบใหม่จึงถูกมองว่าเป็นการขยายแนวรบทางการค้าของทรัมป์ หลังจากก่อนหน้านี้ได้เก็บภาษีเหล็ก อะลูมิเนียม รถยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์มาแล้ว ซึ่งในสัปดาห์นี้ต้องจับตาการตอบโต้จากคู่ค้า รวมถึงผลกระทบต่อตลาดและผู้บริโภคในสหรัฐฯ เอง

จีนกำลังเร่งบทบาทสู่การเป็น “ศูนย์กลางทองคำโลก”

ธนาคารกลางจีน (PBOC) ใช้ตลาดทองคำเซี่ยงไฮ้ (SGE) เชิญชวนประเทศพันธมิตรให้นำทองคำสำรองมาฝากไว้ในจีน เพื่อเสริมอิทธิพลทางการเงิน ลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์ และลดบทบาทของศูนย์กลางการเงินตะวันตก ขณะเดียวกัน PBOC เองก็ยังคงเดินหน้าซื้อทองคำติดต่อกันเป็นเวลา 10 เดือน ช่วยหนุนราคาทองคำให้ทำสถิติสูงกว่า 3,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์

แผนการของจีนคือการจัดเก็บทองคำสำรองของประเทศต่าง ๆ ไว้ในคลังที่เชื่อมโยงกับ SGE International Board โดยเน้นการซื้อทองคำใหม่ ไม่ใช่การย้ายสำรองที่มีอยู่ แม้ว่าจะยังห่างไกลจากสหราชอาณาจักรซึ่งถือทองคำมากกว่า 5,000 ตัน (ราว 600,000 ล้านดอลลาร์) แต่จีนยังคงครองสถานะประเทศผู้บริโภคทองคำรายใหญ่ที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับ เหรียญ หรือแท่งทอง

Goldman Sachs ให้มุมมองหากการถือครองพันธบัตรสหรัฐโดยภาคเอกชนถูกเปลี่ยนเป็นทองคำเพียง 1% ราคาทองคำอาจพุ่งแตะ 5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ อีกทั้งจีนยังเร่งเปิดตลาดทองคำมากขึ้น เช่น การจัดตั้งคลังเก็บทองในต่างประเทศ การเปิดสัญญาซื้อขายนอกประเทศในฮ่องกง รวมถึงการผ่อนคลายกฎการนำเข้าทองคำ การเสนอบริการฝากทองคำสำรองจึงถูกมองว่าเป็นทางเลือกเชิงยุทธศาสตร์ในการลดความเสี่ยงจากการถูกกีดกันออกจากระบบการเงินโลก ซึ่งสะท้อนจากเหตุการณ์ในปี 2565 เมื่อสหรัฐและพันธมิตรอายัดเงินทุนสำรองของรัสเซีย ทำให้หลายประเทศตระหนักถึงความจำเป็นในการกระจายความเสี่ยงทางการเงินมากขึ้น

ตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ต้องติดตามในสัปดาห์

30 กันยายน

·      เวลา 21.00 น. – ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน เดือนส.ค. นักวิเคราะห์คาดการณ์ลดลงสู่ระดับ 7.15 ล้านตำแหน่ง จากระดับ 7.18 ล้านตำแหน่ง ในเดือนก.ค.

1 ตุลาคม

·      เวลา 19.15 น. – การจ้างงานนอกภาคเกษตร (ADP) เดือนก.ย. นักวิเคราะห์คาดการณ์ลดลงสู่ระดับ 53,000 ตำแหน่ง จากระดับ 54,000 ตำแหน่ง ในเดือนส.ค.

·      เวลา 21.00 น. – ดัชนี PMI ภาคการผลิตโดย ISM เดือนก.ย. นักวิเคราะห์คาดการณ์เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 49.1  จากระดับ 48.7 ในเดือนก.ค.

3 ตุลาคม

·      เวลา 19.30 น. – การจ้างงานนอกภาคเกษตร เดือนก.ย. นักวิเคราะห์คาดการณ์เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 51,000 ตำแหน่ง จากระดับ 22,000 ตำแหน่ง ในเดือนส.ค. และ อัตราการว่างงาน เดือนก.ย. นักวิเคราะห์คาดการณ์ทรงตัวที่ 4.3% จากเดือนส.ค.

·      เวลา 21.00 น. - ดัชนี PMI ภาคการบริการโดย ISM เดือนก.ย. นักวิเคราะห์คาดการณ์ทรงตัวที่ระดับ 52.0 จากเดือนส.ค.

แนวโน้มราคาทอง

ภาพรวมในสัปดาห์นี้ แม้ราคาทองคำโลกยังคงปรับตัวในทิศทางขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ระยะสั้นราคาทองคล้ายเกิดภาวะ Double Top อีกทั้งสัญญาณ RSI อยู่ใกล้ระดับ Overbought ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าราคามีโอกาสปรับฐานได้ในเร็วๆ นี้ โดยมีแนวรับสำคัญอยู่ที่ 3,720 ดอลลาร์ ตามเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ EMA50 (ของกราฟราย 4 ชั่วโมง) และหากหลุดแนวรับระดับดังกล่าวจะมีแนวรับถัดไป 3,665 ดอลลาร์ ขณะที่แนวต้านอยู่ในกรอบ 3,790 – 3,800 ดอลลาร์

สำหรับนักลงทุนทองคำแท่ง แนะนำทยอยขายทำกำไรเมื่อราคาปรับขึ้นบริเวณ 57,700 – 57,800 บาท การเข้าซื้อกลับควรใช้กลยุทธ์ทยอยสะสมเล็กน้อย เนื่องจากช่วงนี้ราคาทองค่อนข้างปรับตัวขึ้นมาสูงมาก การปรับฐานก็มีโอกาสปรับลงแรงได้เช่นกัน และมีจุด Stop loss หากราคาทองโลกหลุดต่ำกว่าแนวรับจิตวิทยาที่ 3,700 ดอลลาร์

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์