ขณะที่โลกกำลังเผชิญวิกฤตภูมิอากาศและความจำเป็นเร่งด่วนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รัฐบาลและภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกต่างหันมาให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด โดยเฉพาะในภาคการขนส่ง
ล่าสุด รายงานจากองค์กรสนับสนุนด้านการขนส่งและสิ่งแวดล้อม Transport & Environment (T&E) เปิดเผยว่า ผู้ผลิตรถยนต์ยุโรปเกือบทุกราย กำลังอยู่ในเส้นทางที่จะสามารถบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของสหภาพยุโรป สำหรับปี 2025–2027 ได้สำเร็จ ยกเว้นเพียง “เมอร์เซเดส-เบนซ์” ที่ยังคงตกขบวนหากต้องการขึ้นมาอยู่ในกลุ่มผู้นำตลาดโลกสีเขียว
นี่ไม่ใช่เพียงความเปลี่ยนแปลงในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงการเคลื่อนไหวของโลกในการสร้างระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ซึ่งมีพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีสีเขียวเป็นหัวใจสำคัญ
ยอดขายรถ EV โต หนุนเป้าลดคาร์บอน EU
ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในยุโรปจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะคิดเป็น 18% ของยอดขายรถใหม่ทั้งหมดภายในสิ้นปี 2025 (เพิ่มขึ้นจาก 13.6% ในปีที่แล้ว) และอาจสูงถึง 30% ภายในปี 2027
— ตัวเลขการคาดการณ์ของ Transport & Environment ที่ระบุไว้ในรายงาน
ตัวเลขนี้สะท้อนถึงการตอบรับของผู้บริโภคที่เปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเห็นได้ชัด และกำลังแสดงให้เห็นว่ารถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้เป็นแค่เทรนด์ แต่จะกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานของการเดินทางแห่งอนาคต ส่วนในบริบทของวิกฤตโลกร้อน การบรรลุเป้าหมายด้านคาร์บอนของภาคยานยนต์ ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของกำไรและต้นทุนอีกต่อไป แต่มันคือ “ความรับผิดชอบร่วม” ที่อุตสาหกรรมยานยนต์ต้องมีต่อโลกใบนี้
การผ่อนผันกฎระเบียบและผลกระทบ
แม้สหภาพยุโรปจะยังคงเดินหน้ากำหนดเป้าหมายการยุติการขายรถเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ภายในปี 2035 แต่ในทางปฏิบัติได้มีการผ่อนผันบางข้อกำหนด เช่น การคิดค่าเฉลี่ยการปล่อย CO₂ แบบราย 3 ปี แทนที่จะวัดผลปีต่อปี ตั้งแต่ 2025-2027 โดยการผ่อนผันนี้ให้เวลาแก่ผู้ผลิตในการปรับตัว แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันกลับเปิดโอกาสให้บางราย “ชะลอ” การเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีสะอาด เกณฑ์การผ่อนผันนี้จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำให้แรงจูงใจในการเพิ่มยอดขาย EV ลดลง และอาจส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
T&E เตือนว่าการผ่อนปรนดังกล่าวอาจทำให้ตลาดรถ EV ขายได้น้อยลงถึง 2 ล้านคันในช่วง 3 ปีข้างหน้า หากคิดในเชิงสิ่งแวดล้อม ความล่าช้านี้คือการปล่อยคาร์บอนที่ไม่จำเป็น ซึ่งอาจส่งผลกระทบในวงกว้างต่อความพยายามในการรักษาอุณหภูมิโลกให้ไม่เกิน 1.5°C ตามเป้าหมายของข้อตกลงปารีส
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ผู้เล่นระดับบนที่ล้าหลังในเกมสีเขียว
แม้ว่าผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่ เช่น Tesla, BMW, Renault, Hyundai–Kia และ Volkswagen Group จะเร่งพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าเพื่อตอบโจทย์เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม แต่เมอร์เซเดส-เบนซ์กลับยังล้าหลังในการปรับตัว โดยรายงานระบุว่า บริษัทอาจต้องพึ่งพากลไกการซื้อ “คาร์บอนเครดิต” จากผู้ผลิตที่สะอาดกว่า เช่น Volvo และ Polestar เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกปรับเงิน
ข้อเท็จจริงนี้สะท้อนถึงปัญหาที่ซับซ้อนของการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืนในภาคธุรกิจ แม้จะเป็นผู้ผลิตที่มีทรัพยากรมากมาย แต่หากไม่มีทิศทางเชิงกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ก็อาจกลายเป็นผู้ตามในเกมที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว

อุตสาหกรรมผลักดันให้ “ความยั่งยืน” มีทางเลือก
ภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ยังคงพยายามผลักดันให้กฎหมายของสหภาพยุโรปเปิดพื้นที่ให้กับทางเลือกอื่น เช่น รถยนต์ไฮบริดแบบเสียบปลั๊ก (Plug-in Hybrid) หรือรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในที่มีประสิทธิภาพสูงที่ประหยัดน้ำมันมากขึ้น โดยให้เหตุผลว่าเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้เช่นเดียวกัน ทว่า แนวคิดนี้กำลังถูกท้าทายจากนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและผู้ผลิตรถ EV รายใหม่ๆ ที่ชี้ว่าการยืดหยุ่นกฎหมายจะยิ่งชะลอการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นอันตรายต่อเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศในระยะยาว
ดังนั้น เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สหภาพยุโรปมีเป้าหมายจะยุติการขายรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2035 โดยประธานคณะกรรมาธิการยุโรป อูร์ซูลา ฟอน เดอร์ ไลเยน กำหนดจะหารือกับผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ในวันที่ 12 กันยายนนี้
ความยั่งยืนไม่ใช่เรื่องของ “อนาคต” อีกต่อไป
การเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้าในยุโรป ไม่ใช่แค่การพัฒนาทางเทคโนโลยี แต่เป็นการสร้างระบบเศรษฐกิจที่ปลอดคาร์บอนและยั่งยืน ในยุคที่โลกต้องการการลดมลพิษอย่างเร่งด่วน อุตสาหกรรมยานยนต์จึงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้
เมื่อยอดขาย EV เติบโตและผู้ผลิตส่วนใหญ่เริ่มปฏิบัติตามข้อกำหนดได้แล้ว คำถามจึงไม่ใช่ว่า “เราจะเปลี่ยนหรือไม่?” แต่เป็น “ใครจะเปลี่ยนทัน...และใครจะตกขบวน”