นับเป็นก้าวใหม่ที่สำคัญของเทคโนโลยีภูมิศาสตร์เพื่อโลกที่ยั่งยืนในทศวรรษที่โลกเผชิญกับภัยพิบัติรอบด้าน โดยล่าสุด Google ประกาศเปิดตัว “Google Earth AI” ระบบปัญญาประดิษฐ์เชิงภูมิสารสนเทศ (Geospatial AI) ที่ยกระดับขีดความสามารถของ Google Earth ให้กลายเป็นเครื่องมือวิเคราะห์โลกในมิติใหม่ เพื่อช่วยให้มนุษยชาติเข้าใจและรับมือภัยพิบัติได้แม่นยำกว่าที่เคย
หัวใจสำคัญของนวัตกรรมนี้ คือการผสานพลังของโมเดล Gemini เข้ากับเทคโนโลยีภูมิศาสตร์ สร้างระบบที่สามารถอ่านภาพถ่ายดาวเทียม วิเคราะห์สภาพแวดล้อม และตอบคำถามเชิงลึกได้แบบเรียลไทม์ เช่น การระบุเส้นทางที่ถูกน้ำท่วม การตรวจจับพื้นที่ป่าถูกบุกรุก หรือการคาดการณ์คุณภาพน้ำจากการเกิดสาหร่ายพิษ

Geospatial Reasoning: AI ที่เข้าใจโลกมากกว่าที่เคย
สำหรับฟีเจอร์ใหม่ Geospatial Reasoning เปิดทางให้ AI เชื่อมโยงข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น ภาพดาวเทียม แผนที่ประชากร และสภาพอากาศ เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ซับซ้อนอย่างแม่นยำ เช่น การประเมินพื้นที่เสี่ยงภัย การจัดลำดับความช่วยเหลือในภาวะน้ำท่วม หรือการวางแผนฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมหลังภัยพิบัติ
Google ยังร่วมมือกับองค์กรไม่แสวงหากำไรและหน่วยงานนานาชาติเพื่อใช้ Google Earth AI วิเคราะห์ความเปราะบางของชุมชน ประเมินพื้นที่เสี่ยงโรค และวางแผนจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
อาทิ องค์การอนามัยโลก ใช้โมเดลประชากรและสิ่งแวดล้อมของ Google Earth AI เพื่อคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงโรคอหิวาตกโรคในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ช่วยวางแผนจัดการน้ำ สุขาภิบาล และวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขณะที่ Planet และ Airbus บริษัทผู้ให้บริการภาพถ่ายดาวเทียม นำ Google Earth AI มาวิเคราะห์ข้อมูลภาพมหาศาลรายวัน เพื่อช่วยลูกค้าตรวจจับการตัดไม้ทำลายป่า หรือการรุกล้ำของพืชพรรณต่อแนวสายส่งไฟฟ้า
Bellwether (Alphabet’s X) ร่วมมือกับบริษัทประกันภัย McGill and Partners ใช้ Google Earth AI วิเคราะห์แนวโน้มพายุเฮอริเคน เพื่อให้บริษัทประกันสามารถจ่ายค่าสินไหมได้รวดเร็วขึ้นหลังภัยพิบัติ

ต่อยอดสู่การใช้งานในระดับโลก
นอกจากใน Google Earth แล้ว กูเกิลยังเปิดให้ใช้งานผ่าน Google Cloud ภายใต้ชื่อ Earth AI Imagery, Population และ Environment Models เพื่อให้องค์กรต่างๆ นำข้อมูลเฉพาะของตนมาผสมผสานกับโมเดลของ Google สำหรับวิเคราะห์สภาพสิ่งแวดล้อม ติดตามการเปลี่ยนแปลงของเมือง หรือเตรียมพร้อมต่อภัยพิบัติในอนาคต
AI เพื่อความยั่งยืนของโลก
เบื้องหลังการอัปเดตฟีเจอร์ใหม่นี้ สะท้อนเป้าหมายของ Google ในการสร้างระบบ AI ที่เข้าใจโลกทางกายภาพได้ลึกซึ้งเทียบเท่ากับที่โมเดลภาษาขนาดใหญ่เข้าใจโลกดิจิทัล เพื่อสนับสนุนผู้พัฒนาและองค์กรทั่วโลกในการแก้ไขปัญหาด้านสาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และภัยพิบัติได้อย่างยั่งยืน



