10 ปีแห่งการสานฝัน ปันโอกาส สู่ผู้นำรุ่นใหม่ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เดินหน้าสนับสนุนเยาวชนไทย 20 คน ก้าวสู่เวที One Young World 2025 ประเทศเยอรมนี สานต่อภารกิจปลุกพลังคนรุ่นใหม่ “กล้าก้าวสู่อนาคต” เพื่อสร้างวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า ผ่านประเด็น “Anti-Hate” หนึ่งในห้าความท้าทายของโลกที่เยาวชนทั่วโลกกำลังร่วมกันขบคิด
โลกที่ขับเคลื่อนด้วยความเกลียดชัง ภัยเงียบของยุคดิจิทัล
เสียงเตือนจากเวที One Young World 2025 สะท้อนชัดว่า “ความเกลียดชัง” กำลังกลายเป็นภัยเงียบที่กัดกร่อนสังคมทั่วโลก ไม่ว่าจะในรูปแบบอาชญากรรม ความแตกแยกทางการเมือง หรือคำพูดรุนแรงบนโลกออนไลน์ ปัญหานี้ไม่ได้หยุดอยู่ในพรมแดนของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่ลุกลามข้ามทวีปและกระทบโดยตรงต่อกลุ่มคนรุ่นใหม่
ข้อมูลจากหลายประเทศชี้ชัดถึงแนวโน้มที่น่ากังวล อาทิ ในสหรัฐฯ ปี 2023 มีเหตุอาชญากรรมจากความเกลียดชัง (Hate Crimes) มากถึง 11,862 ครั้ง สูงสุดเป็นประวัติการณ์ พบสถิติความเกลียดชังคนผิวดำยังคงมากที่สุด ขณะที่การเหยียดชาวยิวเพิ่มขึ้นถึง 63% และความเกลียดชังเรื่องรสนิยมทางเพศของกลุ่ม LGBTQ+ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ขณะที่ในสหราชอาณาจักร มีคดีอาชญากรรมจากความเกลียดชังกว่า 145,214 คดี เพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อนหน้า โดย 70% เกี่ยวข้องกับการเหยียดเชื้อชาติ ส่วนในออสเตรเลีย และแคนาดา มีอัตราเพิ่มขึ้น 27% นับตั้งแต่ปี 2021 และยังคงสูงต่อเนื่อง ตัวเลขเหล่านี้คือภาพสะท้อนของสังคมโลกที่ขับเคลื่อนด้วยอัลกอริทึม
แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกคาดหวังว่าจะเป็นพื้นที่แห่งการเชื่อมโยง กลับกลายเป็น “เครื่องขยายอารมณ์” และเร่งปฏิกิริยาความเกลียดชังให้กลายเป็นวัฏจักรแบบเรียลไทม์ ข้อมูลจาก One Young World ระบุว่า เยาวชนทั่วโลกไม่มั่นใจว่ารัฐบาลจะจัดการกับความไม่เท่าเทียมได้จริง โดยคะแนนเฉลี่ยความเชื่อมั่นต่อภาครัฐในเรื่องความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ เพศ และ LGBTQ+ อยู่ที่ 2.8–2.1 คะแนน จาก 5 คะแนน ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญคือความแตกแยกทางการเมือง ความเกลียดชังในสื่อออนไลน์ และความขัดแย้งระหว่างประเทศ ขณะที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยังถูกวิจารณ์อย่างหนักว่าจัดการ Hate Speech ได้ไม่ดีพอ

จากยุคล่าอาณานิคม ถึงยุคอัลกอริทึม
“ความเกลียดชังไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีพัฒนาการมานานตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคม และสร้างมรดกความเกลียดชังมาจนถึงปัจจุบัน” รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการอิสระด้านความมั่นคงและการต่างประเทศ กล่าว พร้อมวิเคราะห์ว่า มรดกแห่งความเกลียดชังฝังรากลึกตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคม เมื่ออำนาจจักรวรรดินิยมสร้างลำดับชั้นของความศิวิไลซ์และความด้อยค่า ทำให้เกิดความรู้สึกแบ่งแยก “พวกเรา–พวกเขา” กลายเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่สืบทอดกันเรื่อยมา
เมื่อเข้าสู่ยุคสงครามเย็น “ความเกลียด” กลายรูปเป็น “ความกลัว” เกิดเป็นการต่อสู้ระหว่างอุดมการณ์คอมมิวนิสต์กับทุนนิยม ก่อนที่โลกจะเปลี่ยนโฉมอีกครั้ง ในศตวรรษที่ 21 กลายเป็นความขัดแย้งทางเชื้อชาติ ศาสนา เพศ และเศรษฐกิจ
“ต้นตอของความเกลียดชังสมัยใหม่คือ ความไม่เท่าเทียม การจัดสรรทรัพยากรไม่สมดุล ทำให้คนจำนวนมากการรู้สึกถูกกีดกัน เกิดสิ่งที่เราเรียกว่า The Burning Injustice หรือความอยุติธรรมที่แผดเผาในใจคนรุ่นใหม่”
— รศ.ดร.ปณิธาน ระบุ
ความรู้สึกของผู้คนที่คิดว่าตนเองไม่ได้รับความยุติธรรมอย่างรุนแรงและเรื้อรังจนกลายเป็นความโกรธที่แผดเผาอยู่ภายใน ไม่ใช่แค่ความจน หรือการถูกกีดกันทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่คือความรู้สึกว่าตนเองถูกทอดทิ้งจากระบบ เช่น ไม่มีโอกาสเท่าเทียมทางการศึกษา การเข้าถึงบริการรัฐหรือสาธารณสุข การเห็นความมั่งคั่งกระจุกอยู่ในกลุ่มชนชั้นนำ หรือรู้สึกว่าระบบการเมืองไม่เป็นธรรม ความรู้สึกเช่นนี้จะ “เผาไหม้ข้างใน” และค่อยๆ สะสมเป็นความคับแค้น จนกลายเป็นความเกลียดชังต่อระบบหรือผู้มีอำนาจ
“ในที่สุด ความไม่เท่าเทียม ก็กลายเป็นเชื้อเพลิงของความเกลียดชัง”
รศ.ดร.ปณิธานย้ำพร้อมเตือนว่า ระบบดิจิทัลในปัจจุบันยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ เพราะอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มมักขยายเนื้อหาที่สร้างอารมณ์โกรธหรือเกลียด ขณะที่ทุกคนทุกระดับเข้าถึงโลกออนไลน์ได้เหมือนกัน
สอดคล้องกับผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยเยล ที่พบว่าความเกลียดชังกลายเป็นสินค้าที่ขายดีในโลกออนไลน์ เนื่องจากโซเชียลมีเดียมีแนวโน้ม “ขยายและให้รางวัล” กับโพสต์ที่มีอารมณ์โกรธหรือเกลียดชัง ซึ่งได้รับการกด Like และ Share มากกว่าโพสต์ทั่วไป

ความเกลียดชังในยุคประชาธิปไตยอ่อนแรง
เมื่อโครงสร้างทางเศรษฐกิจไม่สมดุล และระบอบประชาธิปไตยไม่สามารถทำหน้าที่จัดสรรได้อย่างเท่าเทียม ความรู้สึก “พวกเรา-พวกเขา” ยิ่งลุกลาม
รศ.ดร.ปณิธาน อธิบายว่า ระบอบประชาธิปไตยที่เคยถูกคาดหวังว่าจะสร้างสมดุลใหม่ กำลังอ่อนแรงลงอย่างมาก ผู้นำเปลี่ยนผ่านไม่ทันต่อพลังของระบบเศรษฐกิจดิจิทัลและโลกาภิวัตน์ ในทางกลับกัน ระบบทุนนิยมแบบดิจิทัลกลับสร้างกลุ่มคนที่มั่งคั่งมหาศาล และตอกย้ำความรู้สึกไม่เท่าเทียมในหมู่คนรุ่นใหม่
ขณะเดียวกัน แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียกลายเป็น “สนามรบของอารมณ์” ที่อัลกอริทึมทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาโกรธ เกลียด และกลัว อย่างแม่นยำ “เจ้าของแพลตฟอร์มไม่ได้มีแรงจูงใจที่จะลดความเกลียด เพราะความเกลียดคือสิ่งที่สร้างการมีส่วนร่วม” รศ.ดร.ปณิธาน กล่าว พร้อมยกตัวอย่างประเทศที่เริ่มออกกฎหมายเข้มงวด เช่น เยอรมนี ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และสแกนดิเนเวีย ที่จำกัดการเข้าถึงของเยาวชนหรือบังคับให้แพลตฟอร์มเปิดเผยอัลกอริทึม ขณะที่ในหลายประเทศ รวมถึงไทย การควบคุมยังเริ่มต้นช้า
“ระบบกฎหมายเรายังไม่ทันต่ออัลกอริทึม หากเยาวชนไม่มี ‘ภูมิคุ้มกัน’ ในระดับครอบครัวและการศึกษา เยาวชนจะกลายเป็น ‘เหยื่อ’ ของระบบที่สร้างความเกลียดโดยไม่รู้ตัว”

โซเชียลมีเดีย ดาบสองคม
“โซเชียลมีเดียเหมือนอาหาร ถ้าเราเลือกบริโภคให้ครบ 5 หมู่ เราก็จะได้ประโยชน์ แต่คนจำนวนมากกลับเลือกบริโภคแต่น้ำตาลและความเค็ม”
คำอุปมาของ รศ.ดร.ปณิธาน ชี้ให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีหรือแพลตฟอร์ม แต่อยู่ที่พฤติกรรมการใช้งานของมนุษย์ และย้ำว่าคนไทยมีพื้นฐานทางวัฒนธรรมและศาสนาที่เอื้อต่อการสร้างภูมิคุ้มกัน เพียงแต่ต้องได้รับการปลุกให้ตื่นและทำให้สิ้นสุดที่ยุคของเรา
“เราทุกคนในยุคนี้เคยเป็นเหยื่อของความเกลียดชังรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ทั้งในโลกจริงและโลกออนไลน์ สิ่งสำคัญคือการตระหนักรู้ ทำความเข้าใจ และไม่ส่งต่อมรดกแห่งความเกลียดชังไปยังคนรุ่นต่อๆ ไป”
ทั้งนี้ ในมิติของความยั่งยืน รศ.ดร.ปณิธาน เชื่อว่า “การสร้างความเข้าใจและการอยู่ร่วมกัน” คือหัวใจของการบรรลุเป้าหมาย SDGs เพราะทุกมิติของการพัฒนาที่ยั่งยืน ตั้งแต่ความยากจน การศึกษา ความเท่าเทียม เพศ และสันติภาพ ล้วนต้องเริ่มจากการยอมรับความหลากหลาย และลดความเกลียดชัง

เสียงจากเยาวชนไทย เมื่อ “ความเข้าใจ” คือพลังต้านความเกลียดชัง
“Empathy is not weakness — it’s strength.” คำพูดของ บาส–ศรุตา จันทราพานิชกุล ตัวแทนเยาวชนไทยจากทรูมันนี่ สะท้อนแก่นแท้ของภารกิจ “Anti-Hate” ที่เธอจะนำขึ้นเวที One Young World 2025 เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี
บาสเล่าถึงประสบการณ์ครั้งหนึ่งที่เธอเคยถูกล้อเลียนและเหยียดเชื้อชาติขณะฝึกงานในต่างประเทศ เหตุการณ์นั้นทำให้เธอเลือกที่จะนิ่งและเดินต่อ แต่กลับมาร้องไห้ที่บ้าน ทว่า ทำให้เธอเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า “ความเกลียดชังมักเริ่มจากความไม่เข้าใจและการไม่เคารพกัน” และนั่นคือจุดที่เธอเลือกจะลุกขึ้นมาเป็น “กระบอกเสียง” แทนคนที่ไม่กล้า
สำหรับบาส การเป็นตัวแทนเยาวชนไทยบนเวทีโลก ไม่ใช่แค่รู้สึกเป็นเกียรติ แต่คือ “ความรับผิดชอบต่อความเข้าใจ” เธอเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเริ่มได้จากสิ่งเล็กๆ ในชีวิตประจำวัน การรับฟังโดยไม่ตัดสิน คิดก่อนพิมพ์ หรือแม้แต่การไม่ปาดรถบนถนน
“สันติภาพไม่ได้หมายถึงการไม่มีความขัดแย้ง แต่มันคือการเข้าใจและเคารพในสิทธิของกันและกัน” เธอกล่าว พร้อมย้ำว่า Empathy คือพลังที่ทำให้มนุษย์มีศักดิ์ศรีร่วมกัน
ดังนั้น ในยุคที่โซเชียลมีเดียกลายเป็นสนามรบของความคิดเห็น บาสอยากเห็นมันกลายเป็น “ห้องเรียนของความเข้าใจ” ผ่านแคมเปญ “Empathy & Respect” ที่เปิดพื้นที่ให้ผู้คนเล่าเรื่องของตัวเองจากหลากหลายที่มา เพื่อให้โลกได้เห็นว่าเบื้องหลังความแตกต่าง ทุกคนคือมนุษย์ที่ “มีหัวใจ” เหมือนกัน
“เราทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง แค่ลองฟัง แล้วเราจะเข้าใจมากขึ้น”เธอกล่าวอย่างหนักแน่น นี่คือเสียงเล็กๆ จากเยาวชนไทยคนหนึ่งที่เชื่อว่า “ความเข้าใจ” อาจเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการต่อต้านความเกลียดชังของยุคสมัย

CP กับภารกิจ 10 ปี บนเส้นทางปลุกพลังเยาวชนโลก
ภายใต้โลกที่เปราะบางจากความแตกแยก เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เล็งเห็นว่า “พลังของเยาวชน” คือคำตอบของการสร้างสังคมใหม่ที่ยั่งยืนกว่าเดิม โครงการ “ซีพีสานฝัน ปันโอกาส สู่ผู้นำรุ่นใหม่ One Young World” จึงถือกำเนิดขึ้นและดำเนินต่อเนื่องมาถึงปีที่ 10 ภายใต้นโยบายของ คุณศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ที่เชื่อมั่นในศักยภาพของคนรุ่นใหม่ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง
ปีนี้ซีพีได้ส่งตัวแทนเยาวชนไทย 20 คน จากหลากหลายกลุ่มธุรกิจในเครือเข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำเยาวชนโลก One Young World Summit 2025 ที่เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี ระหว่างวันที่ 3–6 พฤศจิกายน 2568 ร่วมกับเยาวชนกว่า 190 ประเทศทั่วโลก
เวทีนี้ไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิด แต่เปรียบดัง “ห้องทดลองทางสังคมของอนาคต” ที่ผู้นำรุ่นใหม่ได้ร่วมกันวิเคราะห์และเสนอแนวทางแก้ไขต่อ 5 ความท้าทายของโลก ได้แก่
- The Circular Economy (เศรษฐกิจหมุนเวียน)
- Anti-Hate (ต่อต้านความเกลียดชัง)
- Responsible Tech (เทคโนโลยีที่มีความรับผิดชอบ)
- Education (การศึกษา)
- Peace and Security (สันติภาพและความมั่นคง)
หนึ่งทศวรรษปูทางสู่วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า
บทสรุปจากบทสนทนาทั้งหมดจากมุมมองของนักวิชาการและเยาวชน ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า “การสร้างความเข้าใจ คือคำตอบเดียวของโลกที่กำลังแตกแยก”
ตลอด 10 ปี ที่ซีพีสนับสนุนเวที One Young World คือทศวรรษแห่งการสร้าง “ทุนมนุษย์” ที่มีความเข้าใจในความหลากหลาย มีความเห็นอกเห็นใจ และกล้าที่จะเผชิญกับปัญหาโลกอย่างมีสติ
รศ.ดร.ปณิธาน กล่าวปิดไว้อย่างทรงพลังว่า “เราทุกคนในยุคนี้เป็นเหยื่อของความเกลียดชัง แต่สิ่งที่สำคัญคืออย่าดึงเยาวชนให้มาร่วมชะตากรรมเดียวกับเรา ให้เขาอยู่ในโลกที่ดีกว่า โลกที่เข้าใจมากกว่า และมีสันติภาพมากกว่า”
Brave the Future for a Better Tomorrow
ในโลกที่เทคโนโลยีทำให้ทุกอย่างเร็วขึ้น “ความเข้าใจ” อาจเป็นสิ่งเดียวที่จะชะลอให้มนุษย์ได้มองเห็นกันอย่างแท้จริง และนี่คือเหตุผลที่ซีพีเชื่อมั่นในพลังของเยาวชน พลังที่ไม่ได้มุ่งไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังย้อนกลับมาทำความเข้าใจอดีตเพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่า
One Young World 2025 ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเมืองมิวนิก จึงเป็นเหมือน “บททดสอบของมนุษยชาติ” ว่าเราจะเลือกอยู่ร่วมกันบนพื้นฐานของ “ความเข้าใจ” แทน “ความเกลียด” ได้หรือไม่
ร่วมส่งแรงใจให้เยาวชนไทยทั้ง 20 คน ตัวแทนจากเครือเจริญโภคภัณฑ์ที่จะก้าวขึ้นเวทีแห่งอนาคต และติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/OYWThailandbyCPG/




