EU ขยับนโยบายปลุกตลาดคาร์บอนเครดิตโลก ไทยอยู่ตรงไหนในเกมนี้?

21 ส.ค. 2568 - 00:19

  • EU เปิดทางใช้เครดิตคาร์บอนจากต่างประเทศอีกครั้ง หลังเลิกใช้มา 12 ปี พร้อมตั้งเป้าเก็บได้มากกว่า 400 ล้านหน่วย ภายในปี 2040

  • กลไกนี้อาจกลายเป็นช่องทางรายได้ใหม่ของประเทศกำลังพัฒนา แต่ต้องผ่านมาตรฐานความโปร่งใส ความยั่งยืน และสอดคล้องกับข้อตกลงปารีส

  • ประเทศไทยต้องเผชิญแรงกดดันจาก CBAM พร้อมกับโอกาสในตลาดคาร์บอน บทบาทของรัฐและเอกชนจะเป็นตัวชี้วัดอนาคตเศรษฐกิจสีเขียวของประเทศ

EU ขยับนโยบายปลุกตลาดคาร์บอนเครดิตโลก ไทยอยู่ตรงไหนในเกมนี้?

กว่า 12 ปีหลังจากการเลิกใช้คาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศในนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศ ล่าสุด สหภาพยุโรป (EU) พิจารณากลับมาใช้อีกครั้ง พร้อมยุทธศาสตร์และการตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ 90% ภายในปี 2040 เมื่อเทียบกับปี 1990

ในข้อเสนอแก้ไขกฎหมายภูมิอากาศของ EU มีการระบุว่า ตั้งแต่ปี 2036 เป็นต้นไป EU จะเปิดให้มีการซื้อเครดิตคาร์บอนจากต่างประเทศได้ ไม่เกิน 3% ของระดับการปล่อยปี 1990 แม้ตัวเลขสัดส่วนจะดูน้อยนิด แต่เมื่อคำนวณออกมาแล้วกลับวัดปริมาณได้มากถึง 460 ล้านตัน CO₂e หรือเกือบหนึ่งในสามของเป้าหมายการลดปล่อยก๊าซในปี 2040

ดังนั้น หากพิจารณาการใช้เต็มจำนวน สหภาพยุโรปอาจใช้เครดิตได้ประมาณ 140 ล้านเครดิตในปีนั้น โดยอาจมียอดรวมสะสมที่ 300-400 ล้านเครดิตภายในปี 2040 มูลค่ากว่า 10,000 ล้านยูโร ซึ่งมากพอที่จะเปลี่ยนสมดุลของตลาดคาร์บอนโลกทั้งระบบ

โอกาสของ Global South กับความเสี่ยงที่มากับเครดิต

กลไกใหม่นี้อาจเป็น “โอกาสทอง” สำหรับประเทศกำลังพัฒนาใน Global South โดยเฉพาะประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้ ชุมชนท้องถิ่นที่สามารถพัฒนาโครงการลดหรือดูดซับคาร์บอนได้ เช่น การปลูกป่า การอนุรักษ์ระบบนิเวศ หรือพลังงานสะอาด

แต่โอกาสนี้มาพร้อมกับมาตรฐานที่เข้มงวดกว่าเดิม ซึ่ง EU วางกรอบ 3 หลักการหลักสำหรับการจัดซื้อเครดิต ได้แก่

  • ความซื่อตรงทางสิ่งแวดล้อม (Environmental Integrity) ต้องเป็นคาร์บอนที่ลดได้ “จริง” และไม่เกิดขึ้นซ้ำซ้อน
  • การแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม (Benefit Sharing) รายได้ต้องถึงมือชุมชนท้องถิ่น และมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส
  • สอดคล้องกับความตกลงปารีส (Paris Alignment) ต้องเป็นการลดที่ “เพิ่มเติม” จากเป้าหมายของประเทศเจ้าของโครงการ ไม่ใช่แค่ทำตามแผน NDC ที่มีอยู่

ดังนั้น หากเครดิตที่ถูกซื้อไม่ผ่านมาตรฐานเหล่านี้ ไม่เพียง EU จะสูญเสียความน่าเชื่อถือ แต่ประเทศผู้ขายก็อาจเสียโอกาสระยะยาวจากความไว้วางใจของตลาด

sustainability-european-union-is-reintroducing-carbon-credits-SPACEBAR-Photo01.jpg

CBAM แรงกดดันคู่ขนานที่ไทยต้องรับมือ

เครดิตคาร์บอนเครดิตอาจกลายเป็นสินทรัพย์ใหม่ แต่ประเทศอย่างไทยก็ต้องเผชิญแรงกดดันจากอีกด้านคือ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) หรือ “ภาษีคาร์บอนข้ามแดน” ที่ EU เริ่มทยอยบังคับใช้จริงตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2026 เป็นต้นไป

โดย CBAM จะจัดเก็บภาษีคาร์บอนจากสินค้านำเข้าซึ่งพิจารณาจากปริมาณคาร์บอนที่ปล่อยในกระบวนการผลิต หากประเทศผู้ผลิตไม่มีมาตรการควบคุมคาร์บอนหรือระบบรายงานที่โปร่งใส สินค้านั้นจะถูกเก็บภาษีสูงขึ้นเมื่อเข้าตลาดยุโรป สำหรับประเทศไทย นี่คือแรงกดดันที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกไปยัง EU และอาจต้องแบกรับ “ต้นทุน” ที่เพิ่มขึ้น หากไม่มีการปรับปรุงประสิทธิภาพและมาตรฐานคาร์บอน

ไทยควรปรับตัวอย่างไร?

ประเทศไทยนับว่ามีทรัพยากรที่สามารถพัฒนาเป็นโครงการคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงได้ เช่น พื้นที่ป่าชุมชน โครงการจัดการขยะ พลังงานทดแทน และเกษตรกรรมเชิงอนุรักษ์ หากออกแบบดีและโปร่งใส ก็สามารถส่งออกเครดิตไปยังตลาดที่เติบโตอย่าง EU ได้ นอกจากนี้ การพัฒนาโครงการในประเทศยังเป็นการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น และยกระดับเทคโนโลยีสีเขียวภายในประเทศ โดยมีภาคเอกชนเป็นกลไกสำคัญ หากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในด้านกฎหมาย การรับรอง และช่องทางการเข้าถึงตลาด

การเปลี่ยนกติกาโลกครั้งใหม่อาจวัดใจไทยว่าจะรอดหรือรุ่ง ขึ้นอยู่กับว่าไทยขยับเร็วแค่ไหน เมื่อโลกกำลังก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำที่ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยพลังงานเพียงอย่างเดียว แต่ขับเคลื่อนด้วย “มาตรฐาน” ที่รัดกุมและวัดผลได้ ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานของคาร์บอนเครดิต หรือมาตรฐานทางภาษีแบบ CBAM ประเทศที่ปรับตัวช้าจะเผชิญทั้งแรงกดดันจากต้นทุนที่สูงขึ้น และสูญเสียโอกาสในการเป็นผู้เล่นในตลาดสีเขียว

อ้างอิง

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์