อนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 เข้าดำรงตำแหน่งภายใต้ข้อตกลงพิสดารสุดแปลก (MOA) กับพรรคประชาชนที่เป็น 'นั่งร้าน' โดยไม่รับตำแหน่งในครม.ขอเป็นฝ่ายค้านแลกกับข้อตกลง การทำประชามติ “สสร.” เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญภายใน 4 เดือนและต้องไม่เติมเสียง 'สส.' เป็นรัฐบาลเสียงข้างมากกรณีเบี้ยวข้อตกลงจะได้ลงมติไม่ไว้วางใจ หลังจากสลับโผครม.ลงตัวรัฐมนตรี 36 เก้าอี้ ส่วนใหญ่เป็นหน้าเก่าและเครือญาติบ้านใหญ่ความหวังอยู่รัฐมนตรีคนนอก 9 ท่าน โดยพฤตินัยรัฐบาลนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกุล เสมือนเป็นคณะรัฐมนตรีเฉพาะกิจรอการยุบสภาจากภาวะการพ้นตำแหน่งของคุณแพทองธาร ชินวัตร ซึ่งถูกศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรีติดต่อกันสองคน ทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองและทำให้เกิดการเมืองพิสดารที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย
ภายใต้ Timeline ของรัฐบาลการเลือกตั้งได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่อาจต้องใช้เวลาจากนี้ไปอย่างน้อย 8 เดือนหรือประมาณอย่างเร็วกลางเดือนพฤษภาคมปีหน้า การบริหารประเทศจึงต้องเห็นผลระยะสั้นแบบ “Quick Win Policy”แต่โจทย์ของประเทศที่สะสมรอการแก้ปัญหามีมากมาย ทั้งด้านเศรษฐกิจชะลอตัวภาวะหนี้ครัวเรือนสูงด้านสังคมและความมั่นคง เศรษฐกิจของไทยซึมยาวจากการที่พี่งพาเศรษฐกิจโลกในสัดส่วนที่สูงทั้งด้านการส่งออกและท่องเที่ยว เศรษฐกิจโลกหลังการแพร่ระบาดโควิด-19 นิ่งมาต่อเนื่อง ล่าสุดธนาคารโลกประมาณการณ์ขยายตัวร้อยละ 2.3 ชะลอตัวต่ำสุดในรอบทศวรรษและการค้าโลกขยายตัวเพียงร้อยละ 0.9 ปัญหาส่วนหนึ่งมาจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครนต่อเนื่อง 4 ปี เซาะกร่อนเศรษฐกิจยุโรปจนอ่อนแรงมีผลต่อกำลังซื้อกระทบต่อส่งออกไทย สำหรับภาคเอกชนตัวเลขขยายตัวเศรษฐกิจหรือ GDP จะโตต่ำหรือสูงกว่าร้อยละ 2.0 ไม่สนใจแล้วเพราะเข้าสู่ 'Survival Mode' แค่เอาตัวรอดไปปีหน้าก็เหนื่อยแล้ว ปัญหาเฉพาะหน้าของประเทศที่รอรัฐบาลแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเห็นผลเร่งด่วน ฉากทัศน์การบริโภคภายในประเทศอ่อนแอคาดว่าปีนี้จะขยายตัวชะลอตัวจากตากร้อยละ 4.4 เป็นร้อยละ 2.1 หดตัวต่อเนื่อง 3 ปี กำลังซื้อที่เงียบสะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาขยายตัว 'ร้อยละ 0' จำเป็นที่จะต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเห็นผลเร่งด่วน จากงบประมาณจำกัดต้องการเห็นผลลัพธ์เร็วต้องใช้มาตรการ “ลดน้ำที่ราก” ด้วยการใส่เม็ดเงินเข้าไปในกระเป๋าประชาชนผ่าน “แอพเป๋าตังค์” ภายใต้โครงการคนละครึ่งนิวเวอร์ชั่น เฟสแรก ยังไม่ชัดเจนประมาณ 25,000 ล้านบาท ต้องอัดฉีดเงินเข้าระบบภายในเดือนตุลาคม เท่าที่ทราบหลักเกณฑ์กรณีผู้เสียภาษีรัฐบาลจ่ายร้อยละ 60 ประชาชนจ่ายร้อยละ 40 ฐานผู้เสียภาษีจริงประมาณ 3.950 ล้านคน (จากผู้ยื่นแบบภาษีประมาณ 11.52 ล้านคน) สำหรับบุคคลทั่วไปแบ่งจ่ายคนละครึ่งสัดส่วน 50:50 เข้าใจว่าขั้นตอนยังมีอีกมากมีผู้เห็นด้วยไม่เห็นด้วยเพื่อไม่ให้เสียเวลาควรลอกเลียนของเดิมสมัยรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (ปี 2563) สำหรับเฟสสอง ควรจัดสรรงบประมาณให้มากกว่าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเดือนธันวาคม เพื่อให้ประชาชนที่ทำงานในเมืองกลับบ้านวันหยุดยาวปีใหม่ไปใช้จ่ายที่ชนบททำให้เงินกระจายตัว
นอกจากนี้เท่าที่ทราบยังมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบ 'Easy E-Receipt' ด้วยการลดหย่อนภาษีเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว ทั้งนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจควรทำควบคู่กับการแก้วิกฤตโครงสร้างหนี้ซึ่งหนี้ครัวเรือนและธุรกิจอยู่ในระดับสูงทำให้ขาดสภาพคล่องมีผลต่อ 'Net Income' ทำให้การจับจ่ายใช้สอยลดลงแก้กันมาสี่รัฐบาลยังไม่จบฝากรัฐบาลอนุทินซึ่งเข้าใจปัญหาดีควรเร่งไปแก้ไข
เร่งแก้ปัญหาชายแดน เกี่ยวข้องกับความมั่นคงควรทำควบคู่กันไป ประการแรก : ด้วยการประชาสัมพันธ์ผ่านโซเชียลมีเดียหรือจ้างยูทูปเบอร์ต่างชาติให้เห็นว่าความขัดแย้งเป็นปัญหาชายแดนที่ติดกับกัมพูชาห่างไกลจากกทม. และเมืองท่องเที่ยวโดยเฉพาะพัทยา ภูเก็ต สมุย เชียงใหม่ ฯลฯ เพื่อแสดงให้เห็นว่าการใช้ชีวิตและมีความปลอดภัย ประการที่สอง : การเจรจาเรื่องพรมแดนหากพิสูจน์ว่าเป็นพื้นที่ของไทยต้องไม่เสียแม้แต่ตารางนิ้วเดียว สำหรับชาวบ้านตะเข็บชายแดนที่ค้าขายไม่ได้ควรมีมาตรการเยียวยาแต่เห็นส่วนใหญ่คนที่เข้ามาค้าขายเป็นชาวกัมพูชาต้องแยกแยะให้ดี ขณะที่การเปลี่ยนแม่ทัพภาค 2 ซึ่งเกษียณอายุต้องเป็นแบบไร้รอยต่อรัฐบาลต้องซับพอร์ตอย่าให้การเมืองเข้ามาแทรกโดยเฉพาะทีมเจรจากับกัมพูชาในเวทีต่างๆ คู่เจรจาเจ้าเล่ห์ต้องทันเกมเช่นกรณีเปิดด่านเนื่องจากถูกกดดันจากข่าวทูตญี่ปุ่นประจำกัมพูชาแทรกแซงกระบวนการความมั่นคง ต้องเข้าใจว่าถึงแม้ปิดด่านแต่การขนส่งสินค้าไทย-กัมพูชาสามารถใช้ขนส่งทางเรือเพียงแต่ค่าใช้จ่ายอาจสูงกว่าทางถนน การขนส่งจากท่าเรือของไทยไปท่าเรือสีหนุวิลล์ยังปกติเรือบรรทุกตู้สินค้า 600 TEU ก่อนหน้านี้แต่ละสัปดาห์มี 3 เที่ยว (Voy) เนื่องจากปริมาณสินค้ามากขึ้นเดือนกันยายนเพิ่มเป็น 5 เที่ยวต่อสัปดาห์
การเจรจาภาษีทรัมป์ (Reciprocal Tariff) เกี่ยวกับการส่งออกไปสหรัฐฯ เสียภาษีนำเข้าอัตราร้อยละ 19 ยังมีประเด็นที่ต้องเจรจาทั้งด้านการสวมสิทธิ์และสัดส่วนการใช้วัตุดิบในประเทศ (RVC) ช่วงนี้สหรัฐฯ อาจเงียบไปเพราะรอผลการพิจารณาของศาลฎีกา (Supreme Court) ซึ่ง ปธน.ทรัมป์แพ้คดีทั้งศาลต้นและศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับประเด็นความชอบธรรมและอำนาจในการขึ้นอัตราภาษี อาจต้องรอไปจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน หาก 'ทรัมป์' แพ้ภาษีนำเข้าจะกลับไปในอัตราเดิม อย่างไรก็ตามรัฐบาลต้องเตรียมทีมเจรจาจากเดิมคุณพิชัย ชุณหวชิร เป็นหัวหน้าทีมพอไปได้ รัฐมนตรีใหม่เก่งทั้งคู่จะเป็นใครระหว่างคุณเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และรมว.คลัง เป็นลูกหม้อกระทรวงการคลังดูแลการจัดเก็บภาษีมาโดยตลอด สำหรับคุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ อดีต CEO เชนโรงแรมใหญ่ระดับโลกเวลาสั้นๆ เพียง 4 เดือนจะปรับตัวทันไหม ตัวช่วยอาจเป็นคุณวรภัค ธันยาวงษ์ รมช.กระทรวงการคลังคงเอาอยู่เพราะเคยอยู่ในทีมเจรจา 'Thailand Team' ภาษีทรัมป์ที่ผ่านมาถึงปัจจุบันยังไม่เห็นผลกระทบส่งออกอย่างเป็นนัยเดือนกันยายนอาจลดลงบ้าง เนื่องจากแต่ละประทศคู่แข่งล้วนเจอภาษีในอัตราใกล้เคียงกัน
มาตรการเร่งด่วนสุดท้ายซึ่งมีความสำคัญมากคือการสร้างความเชื่อมั่น เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้เฉพาะกิจแค่ 4 เดือนต้องยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ อย่าให้ช่วงแปดเดือนสูญเปล่าจำเป็นต้องมีมาตรการเรียกความเชื่อมั่นเนื่องจากมูลค่าการลงทุนผ่าน BOI ปีนี้อาจสูงถึง 2.0 ล้านล้านบาท เป็นการลงทุนจากต่างชาติ (FDI) ร้อยละ 70.28 สูงเป็นประวัติการณ์ อย่าให้นักลงทุนลังเล มาตรการสร้างความเชื่อมั่นต้องทำอย่างเป็นระบบและต้องเร็วรวมถึงกลยุทธ์ดึงการลงทุนในกัมพูชาด้วยการยกเลิกโครงการ
'Thailand Plus One' เชื่อมโยงการลงทุนกับเขมร ด้านความเชื่อมั่นภาคท่องเที่ยวต่างชาติซึ่งปีนี้ชะลอตัวจะมีวิธีอย่างไรเพราะกำลังเข้าสู่ช่วงไฮท์ซีซั่น จะทำด้วยวิธีอย่างไรคุณศุภจีฯ เธออยู่กระทรวงพาณิชย์แต่ช่วยกันคงไม่เป็นไรเพราะเธอเก่งอยู่แล้วคงไม่ต้องห่วง
องค์กรภาคเอกชนต่างมีการนำเสนอประเด็นต่างๆ มากมายโดยเฉพาะโครงการเห็นผลระยะยาวให้รัฐบาลดำเนินการ ควรต้องเข้าใจว่ารัฐบาลคุณอนุทินฯ มีเวลาสั้นมากๆ โครงการต้อง 'Quick Win' ประเภทโครงการใหญ่เห็นผลระยะยาว ไว้เลือกตั้งใหม่หากได้เป็นรัฐบาลค่อยกลับมาทำ เช่น โครงการ 'Landbridge' ชุมพร-ระนอง ระยะทาง 89.35 กิโลเมตร มีท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่ระดับแหลมฉบัง 2 แห่งหัวท้ายและมีโครงสร้างพื้นฐานระดับรางและมอเตอร์เวย์เชื่อมใช้งบประมาณมากกว่า 1 ล้านล้านบาท คงต้องศึกษาให้ดีเพราะยังมีคำถามอีกมากถึงแม้จะเป็นลงทุนจากต่างชาติโดยเฉพาะกับประเทศจีนแลกกับสัญญา 50 ปี คุ้มหรือไม่ ควรนำกรณีศึกษารถไฟความเร็วสูงจีน-ลาวและสนามบินเตโชตาเขมาของกัมพูชากู้เงินจีนและถูกครอบงำ โครงการแลนด์บริดจ์คงไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนเพราะท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 เพิ่งลงทุน เวลาสั้นๆ เก็บไว้ก่อนดีกว่าไหมครับ ....
บทความพิเศษโดย: ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย