บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ (CPF) รายงานผลประกอบการ 9 เดือนแรกปี 2568 มีกำไรสุทธิ 24,112 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้เศรษฐกิจโลกยังชะลอตัว แต่ธุรกิจในต่างประเทศยังเป็นแรงขับหลักของผลประกอบการ โดยมีสัดส่วนยอดขายจากต่างประเทศกว่า 62% และการส่งออกอีก 5% คิดเป็นประมาณสองในสามของรายได้รวมทั้งหมด
ประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวว่า บริษัทมีการลงทุนและร่วมลงทุนใน 16 ประเทศ และมีเครือข่ายจำหน่ายในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก โดยยอดขายรวม 9 เดือนแรกอยู่ที่ 430,335 ล้านบาท หากไม่รวมผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็ง บริษัทจะมียอดขายเติบโตประมาณ 5% จากปีก่อน
ปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนกำไรคือ ต้นทุนวัตถุดิบลดลง โดยเฉพาะราคากากถั่วเหลืองในตลาดโลก รวมถึงการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพในทุกห่วงโซ่อุปทาน
สำหรับ ไตรมาส 3 ปี 2568 ซีพีเอฟมียอดขาย 138,565 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% หากไม่นับผลจากค่าเงิน อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 16.5% สูงกว่าปีก่อนที่ 15.4% แม้จะมีผลขาดทุนจากการตีมูลค่าสินทรัพย์สุกร 1,115 ล้านบาท และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง 33% เหลือ 2,463 ล้านบาท ทำให้กำไรสุทธิไตรมาสนี้อยู่ที่ 5,186 ล้านบาท ลดลง 29% จากปีก่อน
ประสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้ธุรกิจยังต้องเผชิญความท้าทายจากโรคระบาดในสัตว์ มาตรการภาษีของสหรัฐฯ และกำลังซื้อที่ยังฟื้นตัวช้าในบางประเทศ ซีพีเอฟจึงเน้นการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ติดตามความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด และลงทุนอย่างรอบคอบ โดยมุ่งขยายในประเทศที่มีศักยภาพสูง เช่น ฟิลิปปินส์ และ เวียดนาม
บริษัทคาดว่าแนวโน้มธุรกิจอาหารทั่วโลกยังมีโอกาสเติบโต จากกระแสความต้องการโปรตีนคุณภาพ และแนวทางการผลิตอย่างยั่งยืนที่สอดรับกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
