ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายประเทศ เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ เริ่มหันไปซื้ออาวุธจากตุรกีแทนการพึ่งพาอาวุธจากประเทศตะวันตกที่เคยใช้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นโดรน เรือรบ ระบบขีปนาวุธ ไปจนถึงเครื่องบินรบเจเนอเรชัน 5
นักวิเคราะห์มองว่ามีหลายปัจจัยที่ทำให้อาวุธของตุรกีน่าสนใจ อาทิ ราคาที่เอื้อมถึง แพลตฟอร์มที่พร้อมรบ ซึ่งมาพร้อมกับประโยชน์เพิ่มเติมอย่างการถ่ายทอดเทคโนโลยี โครงการผลิตร่วมกัน และข้อจำกัดทางการเมืองที่น้อยกว่า เพราะตุรกีเองก็กำลังมองหาตลาดเพิ่มเติม จึงทำให้ประเทศในภูมิภาคนี้มองว่าเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจ
ตัวอย่างที่โดดเด่นคือ อินโดนีเซียได้ลงนามในสัญญาซื้อเครื่องบินขับไล่เจเนอเรชันที่ 5 รุ่น KAAN จำนวน 48 ลำ (คาดว่าจะเริ่มผลิตในปี 2028) โดยนอกจากการซื้อขายแล้ว ยังมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการร่วมมือในด้านวิศวกรรม การผลิต และการพัฒนาขีดความสามารถอุตสาหกรรมภายในประเทศด้วย ทำให้อินโดนีเซียสามารถประกอบและบำรุงรักษาเครื่องบินได้เองในระยะยาว
นอกจากนี้ ยังมีการสั่งซื้อโดรน Bayraktar TB3 60 ลำ โดรน Akinci อีก 9 ลำ รวมถึงเรือรบฟริเกตล่องหนและระบบขีปนาวุธที่ร่วมผลิตในประเทศ โดยตุรกีกับอินโดนีเซียได้ลงนามข้อตกลงร่วมมือในการสร้างเรือรบฟริเกตอิสตันบูลคลาส จำนวน 2 ลำ ซึ่งเป็นเรือรบที่ออกแบบมาต่อสู้ในหลายรูปแบบ เช่น ต่อต้านเรือผิวน้ำและเรือดำน้ำ รวมถึงติดตั้งอาวุธขั้นสูง

อินโดนีเซียยังเพิ่งติดตั้งระบบขีปนาวุธ KHAN ที่มีพิสัยการยิง280 กิโลเมตรของตุรกีในจังหวัดกาลิมันตันตะวันออก กลายเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ติดตั้งระบบขีปนาวุธนี้ และยังเป็นกองทัพแรกของโลกที่ครอบครองระบบขีปนาวุธนี้นอกเหนือจากตุรกี
ขณะที่ฟิลิปปินส์ได้รับเครื่องบินโจมตี T129 ATAK จำนวน 6 ลำจากตุรกีแล้ว หลังจากมีรายงานว่าลงนามข้อตกลงซื้อขายมูลค่า 270 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อปี 2020 และมาเลเซียซื้อเรือตรวจการณ์ชายฝั่งและโดรน ANKA-S MALE
ทำไมต้องเปลี่ยน
แรงจูงใจหลักที่ผลักดันให้ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยีทางทหารจากตุรกีมากขึ้น นอกเหนือจากซัพพลายเออร์เดิมอย่างสหรัฐฯ จีน รัสเซีย คืออะไร
อับดุล เราะห์มาน ยาคอบ นักวิจัยจากโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของสถาบัน Lowy Institute เผยว่า ในกรณีของอินโดนีเซียนั้น การห้ามนำเข้าและส่งออกอาวุธในปี 1999-2005 ส่งผลต่อการคิดเชิงกลยุทธ์ของอินโดนีเซีย
“สำหรับกองทัพอินโดนีเซีย การกระจายแหล่งจัดหาอาวุธถือเป็นกลยุทธ์สำคัญเพื่อให้แน่ใจว่ากองทัพจะมีแหล่งจัดหาอาวุธที่มั่นคง และไม่ถูกควบคุมโดยอำนาจใดอำนาจหนึ่งโดยเฉพาะ ในระยะยาวจาการ์ตาหวังจะเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นสูงจากพันธมิตรภายนอกเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของตนเอง เราจึงเห็นตุรกีแบ่งปันเทคโนโลยีทางการทหาร โดยเฉพาะโดรนและขีปนาวุธกับอินโดนีเซีย”
ราคาก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ โดยเฉพาะกับมาเลเซียและอินโดนีเซียที่อาจมรงบประมาณด้านกลาโหมจำกัด และอาวุธใหม่ๆ ส่วนใหญ่ก็ราคาสูง
จามิล กานี นักศึกษาปริญญาเอกจากวิทยาลัยการศึกษานานาชาติ เอส ราชารัตนัม (RSIS) ของสิงคโปร์บอกกับ CNA ว่า ยุทโธปกรณ์ของตุรกี โดยเฉพาะโดรน Bayraktar TB2 ราคาราวหน่วยละ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่โดรน MQ-9 Reaper ของสหรัฐฯ ลำละ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงทำให้ Bayraktar TB2 ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่ามีประสิทธิภาพคุ้มราคา
แลม ชุง วา นักวิเคราะห์ด้านการป้องกันประเทศจากมหาวิทยาลัยมาเลเซียมองว่า มาเลเซียเลือกตุรกีเพราะการตัดสินใจทางการเมือง เนื่องจากนายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม กับประธานาธิบดี เรเจป ไตยิป แอร์โดอัน ของตุรกีเป็นเพื่อนกัน ทั้งยังนับถือศาสนาเดียวกัน
อาวุธตุรกีโกอินเตอร์
ตุรกีกำลังขยายอิทธิพลในอุตสาหกรรมอาวุธอย่างรวดเร็ว โดยความต้องการระบบป้องกันประเทศ โดยเฉพาะโดรนและเรือรบ มาจากผู้นำเข้ารายใหญ่ เช่น ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ โอมาน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ข้อมูลของสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (SIPR) ซึ่งเป็นสถาบันระหว่างประเทศอิสระที่มุ่งเน้นด้านการวิจัยเกี่ยวกับความขัดแย้งระบุว่า สัดส่วนของอาวุธจากตุรกีในการส่งออกทั่วโลกเพิ่มขึ้นจาก 0.8% ในปี 2015-2019 มาเป็น 1.7% ในปี 2020-2024
ประเทศผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่ที่สุด 5 อันดับแรกระหว่างปี 2020-2024 ได้แก่ สหรัฐฯ ฝรั่งเศส รัสเซีย จีน และเยอรมนี ทั้ง 5 ประเทศนี้คิดเป็น 72% ของการส่งออกอาวุธทั้งหมดทั่วโลก
อุตสาหกรรมอาวุธของตุรกีเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยการส่งออกพุ่งสูงจาก 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2013 มาเป็น 7.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ ขณะที่ตุรกีมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้เล่นด้านการป้องกันประเทศรายใหญ่ระดับโลกและเป็นพันธมิตรที่สำคัญสำหรับประเทศต่างๆ ที่ต้องการกระจายการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์
ยังมีความท้าทาย
ผู้เชี่ยวชาญเตือนถึงความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น เช่น การบำรุงรักษาและความสามารถในการใช้งานร่วมกับอาวุธอื่นๆ รวมถึงความพร้อมในการใช้งาน
ไครุล ฟาห์มี นักวิเคราะห์การทหารจากสถาบันความมั่นคงและการศึกษากลยุทธ์ในจาการ์ตากล่าวว่า ความท้าทายหลักสำหรับอินโดนีเซียและมาเลเซียคือ การบูรณาการแพลตฟอร์มใหม่เข้ากับคลังอาวุธที่มีความหลากหลาย ซึ่งรวมถึงอุปกรณ์ป้องกันประเทศของชาติตะวันตก รัสเซีย และจีน
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา เครื่องบินหรือระบบขีปนาวุธราคาแพงหลายชิ้นอาจไม่สามารถทำงานได้อย่างเหมาะสมในระยะยาวหากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี
อีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องพิจารณาคือ ชิ้นส่วนสำคัญหลายชิ้นของอาวุธของตุรกี เช่น ระบบอิเล็กทรอนิกส์การบิน เครื่องยนต์ และระบบเรดาร์ ยังคงต้องพึ่งพาซัพพลายเออร์จากสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และยุโรป หากเกิดปัญหา บริษัทตุรกีสามารถให้การสนับสนุนส่วนประกอบเหล่านี้ได้ไม่ หรือต้องหันกลับไปหาผู้ผลิตต้นทางของอุปกรณ์ชิ้นนั้นๆ