หากพูดถึงมหาอำนาจในเอเชีย และคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของภูมิภาคคงหนีไม่พ้น ‘จีน’ และ ‘ญี่ปุ่น’ แต่ด้วยความขัดแย้งที่สืบเนื่องมายาวนานหลายศตวรรษ จึงทำให้ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างทั้งสองประเทศเหมือนยืนอยู่บนเส้นขนานที่ต่อให้มาบรรจบกันได้ก็อาจจะไม่สนิทใจเท่าใดนัก
เนื่องจากปัญหาหลายประการที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ระหว่างสองประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมทางทหารของจีนที่เพิ่มขึ้นรอบหมู่เกาะพิพาท, ข้อจำกัดทางการค้า, ความกังวลเรื่องสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน จึงทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้นง่ายๆ แม้จะสะกิดกันแค่นิดเดียวก็ตาม
“หากจีนโจมตีไต้หวันที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ญี่ปุ่นอาจตอบโต้ทางทหาร”
— นายกฯ ซานาเอะ ทาคาอิจิ ของญี่ปุ่นกล่าวต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 7 พ.ย.
เพราะประเด็น ‘ไต้หวัน’ นั้นค่อนข้างละเอียดอ่อน และถึงแม้ต่างฝ่ายต่างก็รู้จุดยืนของแต่ละฝ่ายที่ว่า ‘จีนอ้างสิทธิ์ในไต้หวัน’ ส่วนญี่ปุ่นนั้น ‘ก็พร้อมจะปกป้องอธิปไตยไต้หวัน’ แต่การพูดถึงท่าทีของญี่ปุ่นอย่างเปิดเผยกลับกลายเป็นชนวนความตึงเครียดทางการทูตระหว่างจีน-ญี่ปุ่นที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

สำหรับสถานการณ์ในตอนนี้ จีนยังคงแสดงออกให้เห็นเลยว่า ‘ไม่พอใจ’ อย่างมาก และตอบโต้ญี่ปุ่นทันทีด้วยการเตือนพลเมืองให้ ‘หลีกเลี่ยง’ การเดินทางไปญี่ปุ่น และ ‘ระงับ’ การนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่นอีกครั้ง พร้อมทั้งเรียกร้องให้ญี่ปุ่นถอนคำพูด ไม่เช่นนั้น จีนจะใช้มาตรการตอบโต้ขั้นเด็ดขาด ขณะที่นายกฯ ทาคาอิจิยังคงยืนยันว่าจะ ‘ไม่ถอนคำพูด’ และย้ำว่าญี่ปุ่นต้องการที่จะสร้างความสัมพันธ์กับจีนให้ดีขึ้นต่อไป
จริงๆ แล้ว...อะไรเป็นสาเหตุเบื้องหลังความตึงเครียดระหว่างจีน-ญี่ปุ่นในปัจจุบัน

-ข้อพิพาทเรื่อง ‘ดินแดน’ ยังคงเป็นหนึ่งในชนวนความขัดแย้งที่ใหญ่ที่สุด-
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงต้นทศวรรษ 2010 ที่ทั้งสองประเทศต่างอ้างสิทธิ์ในหมู่เกาะร้างในทะเลจีนตะวันออก ซึ่งญี่ปุ่นเรียกว่า ‘หมู่เกาะเซ็งกากุ’ และจีนเรียกว่า ‘หมู่เกาะเตียวหยู’ โดยครอบคลุมพื้นที่รวมประมาณ 7 ตารางกิโลเมตร
จีนเริ่มส่งเรือของหน่วยยามฝั่งและเรือของรัฐบาลเข้ามาในพื้นที่บริเวณนี้เกือบทุกวันตั้งแต่ปี 2012 ซึ่งเป็นช่วงที่อดีตนายกฯ ญี่ปุ่น โยชิฮิโกะ โนดะ ตัดสินใจเปลี่ยนสถานะของเกาะบางส่วนจากผู้ครอบครองเอกชนมาเป็นของรัฐ
ทั้งนี้พบว่าจำนวนเรือจีนที่เข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ในปี 2024 นอกจากนี้ จีนและญี่ปุ่นยังแข่งกันอ้างสิทธิ์ในแหล่งก๊าซธรรมชาติใกล้เคียงอีกด้วย
-อิทธิพลทางทหารที่เพิ่มขึ้นของจีนเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ญี่ปุ่นกังวล-
ในรายงานประจำปี 2025 ของญี่ปุ่นกล่าวถึงจีนมากกว่า 1,000 ครั้ง โดยระบุว่า “จีนประสบความสำเร็จในการพัฒนากำลังทหารอย่างรวดเร็วจนกลายเป็น ‘ความท้าทายทางยุทธศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น’”
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนได้กำกับดูแลการใช้จ่ายด้านกลาโหมเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่านับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งในปี 2013 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ญี่ปุ่นต้องขยายกองทัพของตัวเองเพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้
ขณะเดียวกัน แผนพัฒนากำลังพลป้องกันประเทศของญี่ปุ่นระยะเวลา 5 ปีก็ได้รับการอนุมัติในปี 2022 คาดว่าจะใช้งบประมาณ 43 ล้านล้านเยน (ราว 8.8 ล้านล้านบาท) และทำให้การใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ จากเดิมที่เคยอยู่ที่ 1% ซึ่งทาคาอิจิเองก็ได้เร่งเป้าหมายนี้ให้เกิดขึ้นภายในปีงบประมาณ 2025 แทนที่จะเป็นปี 2027 ตามแผนเดิม ขณะที่จีนกล่าวหาญี่ปุ่นว่า “ไม่เรียนรู้บทเรียนจากประวัติศาสตร์และหันกลับไปสู่ลัทธิทหารนิยมอีกครั้ง”
-ความกังวลของญี่ปุ่นส่วนหนึ่งมาจาก ‘ภูมิศาสตร์’-
‘ไต้หวัน’ อยู่ห่างจากเกาะโยนากุนิ เกาะที่อยู่ใกล้ญี่ปุ่นที่สุดไม่ถึง 100 กิโลเมตร ซึ่งเป็นการเตือนว่า ‘ความขัดแย้งใดๆ ที่เกิดขึ้นในบริเวณนี้อาจลุกลามข้ามทะเลจีนตะวันออกได้อย่างรวดเร็ว’
ที่ผ่านมา จะเห็นว่านายกฯ ญี่ปุ่น หลายๆ คนพยายามหลีกเลี่ยงการหารือรายละเอียดความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในประเด็นไต้หวัน เนื่องจากเป็นประเด็นละเอียดอ่อนทั้งในจีนและญี่ปุ่น
นั่นจึงทำให้ทาคาอิจิเป็นผู้นำญี่ปุ่นคนแรกในรอบหลายสิบปีที่พูดต่อสาธารณะเชื่อมโยงวิกฤตในช่องแคบไต้หวันกับความเป็นไปได้ในการส่งทหารญี่ปุ่นไปประจำการ คำกล่าวของทาคาอิจิทำให้จีนตอบโต้ทันที โดยทั้งเตือนประชาชนของตัวเองไม่ให้เดินทางไปญี่ปุ่น และ ‘ระงับ’ การนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่นอีกครั้ง
แม้แต่อดีตนายกฯ ชินโซ อาเบะ ที่มีท่าทีแข็งกร้าวต่อจีน ก็ยังระมัดระวังที่จะไปแตะประเด็นอ่อนไหวอย่าง ‘ไต้หวัน’
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นได้ขยายฐานทัพทางทหารหลายแห่ง เช่น ฐานยิงขีปนาวุธต่อต้านเรือตามแนวหมู่เกาะทางตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งเกิดจากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ไต้หวันและความขัดแย้งในภูมิภาคอย่างกว้างขวาง ขณะเดียวกัน เรือของกองทัพและเรือตำรวจชายฝั่งของจีนก็ปฏิบัติการลุกล้ำน่านน้ำใกล้หมู่เกาะเซ็งกะกุบ่อยขึ้น
ที่ผ่านมาการค้าระหว่าง ‘จีน-ญี่ปุ่น’ เป็นอย่างไร...

เมื่อจีนเริ่มเปิดตลาดในปลายทศวรรษ 1970 บริษัทญี่ปุ่นหลายแห่ง เช่น Panasonic, Holdings, และ Toyota Motor ก็ได้เข้าไปตั้งโรงงานผลิตในจีนเพื่อจำหน่ายสินค้าให้กับผู้บริโภคที่มีฐานะร่ำรวย นอกจากนี้ ธุรกิจญี่ปุ่นยังใช้จีนเป็นแหล่งแรงงานราคาถูกสำหรับการผลิต เช่น ร้านขายเสื้อผ้าแบรนด์ Uniqlo ซึ่งตั้งโรงงาน หรือรับสินค้าจากบริษัทจีนก่อนที่จะนำไปขายในญี่ปุ่นและประเทศอื่นๆ
ปัจจุบัน จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ขณะที่สหรัฐฯ เป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของจีน จากนั้นความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างสองประเทศก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เมื่อบริษัทจีนเริ่มแข่งขันกับบริษัทญี่ปุ่นโดยตรงในการผลิตสินค้าราคาแพง เช่น รถยนต์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ขณะเดียวกันญี่ปุ่นก็ผันมาเป็นผู้จัดหาชิ้นส่วนให้กับจีนมากขึ้นเรื่อยๆ แทนที่จะส่งสินค้าสำเร็จรูปไปขาย
แบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคของจีน รวมถึง Shein ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซราคาประหยัด กำลังขยายตลาดเข้าสู่ญี่ปุ่น ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง BYD กลายเป็นคู่แข่งสุดท้าทายสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น ไม่เพียงแต่ในจีนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทั่วโลกด้วย จนบริษัทญี่ปุ่นบางแห่ง เช่น Mitsubishi Motors และ Nippon Steel ถึงกับต้องถอนตัว หรือปรับลดกิจการในจีนลง
อธิบายให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ‘ในปัจจุบันนี้ การลงทุนของญี่ปุ่นในจีนกำลังลดลง’ เพราะการทำธุรกิจในจีนมีความไม่แน่นอนสูงและมักถูกดึงเข้าไปในความขัดแย้งทางการเมืองต่างๆ อีกทั้งมาตรการจำกัดที่เข้มงวดขึ้น รวมถึงกฎหมายต่อต้านการจารกรรมที่ขยายขอบเขตของจีน ก็ทำให้บริษัทญี่ปุ่นระมัดระวังการลงทุนมากขึ้น และลามไปถึงพลเมืองที่ระมัดระวังการเดินทางไปจีนมากขึ้นด้วย
จะเกิดอะไรขึ้น? หากความตึงเครียด ‘จีน’ VS ‘ญี่ปุ่น’ ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

สำหรับสถานการณ์ในตอนนี้ ดูเหมือนว่าภาคเศรษฐกิจของญี่ปุ่นซึ่งจีน ‘ระงับ’ การนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่นอีกครั้ง รวมไปถึงภาคการท่องเที่ยวจะกระทบหนัก เนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวจีนแห่ ‘ยกเลิก’ ทริปเดินทางไปญี่ปุ่นตั้งแต่ช่วงสัปดาห์ที่แล้วจนถึงสิ้นเดือนธันวาคม 1.44 ล้านเที่ยว คิดเป็น 30% หลังจากรัฐบาลจีนเตือนให้ประชาชน ‘หลีกเลี่ยง’ การเดินทางไปญี่ปุ่น
ขณะที่สิงคโปร์และเกาหลีใต้มียอดจองทริปเพิ่มขึ้นถึง 15% ส่วนไทย มาเลเซีย และเวียดนามมีแนวโน้มเติบโตสูงถึง 11% เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า ซึ่งนั่นหมายความว่า ญี่ปุ่นอาจสูญเสียรายได้อย่างน้อย 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.6 หมื่นล้านบาท) แต่ตัวเลขอาจสูงถึง 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.8 หมื่นล้านบาท)
“หากไม่มีสัญญาณบ่งชี้ว่าความตึงเครียดจะคลี่คลายลง ก็มีแนวโน้มว่าความเสี่ยงที่ความขัดแย้งทางการทูตจะยืดเยื้อไปจนถึงปีใหม่ และนั่นอาจทำให้ญี่ปุ่นได้รับผลกระทบอย่างหนักมากขึ้น...หากนักท่องเที่ยวจีนแผ่นดินใหญ่ยังคงไม่เดินทางมาเยือนญี่ปุ่นในปี 2026 รายได้สะสมที่ญี่ปุ่นอาจสูญเสียไปอาจสูงถึง 9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.9 แสนล้านบาท)”
— ซุบรามาเนีย บัตต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ China Trading Desk กล่าว
นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการจีนยังได้เตือนนักศึกษาจีนที่วางแผนจะไปศึกษาต่อในญี่ปุ่นว่า ‘อาจเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น’
ตามรายงานขององค์การสนับสนุนนักศึกษาแห่งประเทศญี่ปุ่นระบุว่า ในเดือนเมษายน 2024 มีนักศึกษาจีน 123,485 คนที่กำลังศึกษาอยู่ในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นกลุ่มนักเรียนต่างชาติที่มากที่สุดในประเทศ คิดเป็น 37% ของนักเรียนต่างชาติทั้งหมด
แต่ความกังวลที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ขณะนี้จีนกุมความได้เปรียบในการควบคุมห่วงโซ่อุปทาน ‘แร่แรร์เอิร์ธ’ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่จีนเคยใช้มาแล้วเมื่อประมาณ 10 กว่าปีที่ผ่านมา โดยจีนได้ ‘ระงับ’ การส่งออกวัตถุดิบสำคัญเหล่านี้ชั่วคราว จนทำให้การผลิตสินค้าหลากหลายชนิด เช่น สมาร์ทโฟนและรถยนต์ และเทคโนโลยีอื่นๆ อีกมากมาย ได้รับผลกระทบ
อย่างไรก็ดี ความขัดแย้งทางการทูตดังกล่าวก็อาจสร้างความเสียหายให้กับธุรกิจที่ดำเนินกิจการอยู่ในทั้งสองประเทศ
“แม้ว่าจำนวนบริษัทในเครือญี่ปุ่นที่ต้องการขยายธุรกิจในจีนแผ่นดินใหญ่และฮ่องกงจะอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ณ สิ้นปี 2024 แต่จีนยังคงเป็นตลาดส่งออกสำคัญสำหรับสินค้าญี่ปุ่นด้านเครื่องจักร รถยนต์ และสารเคมี” ผลสำรวจขององค์การการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (JFTA) ระบุ
และญี่ปุ่นเองก็ยังคงเป็นแหล่งสำคัญของผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีขั้นสูงที่บริษัทจีนไม่สามารถผลิตได้ภายในประเทศ เช่น อุปกรณ์และวัสดุสำหรับการผลิตเซมิคอนดักเตอร์
แม้ว่าจีนดูเหมือนจะมีอำนาจต่อรองมากกว่าญี่ปุ่นในการจัดการกับปัญหาทางเศรษฐกิจ แต่จีนก็จำเป็นต้องพิจารณาทางเลือกต่างๆ และชั่งน้ำหนักให้ดีด้วยเช่นกัน
เพราะบางทีการใช้มาตรการที่แข็งกร้าวเร็วเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจำกัดการส่งออกแร่แรร์เอิร์ธ ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ก็อาจทำให้สหรัฐฯ ที่เป็นพันธมิตรของญี่ปุ่น เข้ามามีบทบาทและเพิ่มความตึงเครียดในการเผชิญหน้าทางเศรษฐกิจและการเมืองเอาได้
อินโฟกราฟฟิกโดย : กนกวรรณ หิรัญกวินกุล
ภาพปก / ภาพประกอบ : สันติ อมรสถิตย์




