“หากความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ เปรียบเสมือนเรือที่แล่นไปในทะเลหลวงท่ามกลาง ‘ลมและคลื่น’ อย่างที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนได้เปรียบเทียบไว้ การประชุมสุดยอดระหว่างเขากับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ก็สามารถรักษาเสถียรภาพของความสัมพันธ์ไว้ได้”
— นักวิเคราะห์ กล่าว
ผู้สังเกตการณ์ระบุว่า การประชุมราว 100 นาที เมื่อวันพฤหัสบดี (30 ต.ค.) ณ เมืองท่าปูซานของเกาหลีใต้ ไม่พบความคืบหน้าใดๆ แต่มีการแลกเปลี่ยนนโยบายและการประนีประนอมที่บ่งบอกถึงความสนใจร่วมกันในการลดความตึงเครียดของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน อย่างน้อยก็ในระยะอันใกล้นี้
“เราเห็น สี จิ้นผิง ยกย่องความสามารถของทรัมป์ในการจัดการความขัดแย้งระหว่างประเทศ ขณะที่ทรัมป์ก็ชม สี จิ้นผิง ว่าเป็น ‘ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของประเทศที่ยิ่งใหญ่’ คุณจะเห็นได้ว่าผู้นำทั้งสองกำลังพยายามสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรและสร้างสรรค์ เพื่อเป็นการกำหนดทิศทางสำหรับการเจรจาและการประชุมครั้งนี้เอง ซึ่งเป็นหนึ่งในไฮไลท์สำคัญอย่างแน่นอน” อู๋ เซจือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีทางทะเลไทเป กล่าว
ขณะที่ แอนดี้ ม็อก นักวิจัยอาวุโสประจำศูนย์วิจัยจีนและโลกาภิวัตน์ (CCG) ในกรุงปักกิ่ง เรียกการประชุมครั้งนี้ว่า “ค่อนข้างเป็นไปในเชิงบวก” ส่วนหนึ่งก็มาจากสิ่งที่เขามองว่า ‘เป็นการเปลี่ยนแปลงในท่าทีของสหรัฐฯ ที่มีต่อจีน’ “ผมคิดว่า สหรัฐฯ ได้เปลี่ยนท่าทีและความคาดหวังของพวกเขาไปอย่างมาก...และตอนนี้ต้องมองจีนในฐานะคู่แข่ง และในบางแง่มุม จีนอยู่ในตำแหน่งที่เหนือกว่าด้วยซ้ำ”
และเนื่องจากผลลัพธ์ของการประชุมสุดยอดส่วนใหญ่สอดคล้องกับความคาดหวัง ผู้สังเกตการณ์จึงคาดว่า ทั้งสองฝ่ายน่าจะรู้สึกพึงพอใจ และจะมีช่วงเวลาแห่งเสถียรภาพรออยู่ อย่างน้อยก็ในปีหน้า หรือจนกว่าผู้นำทั้งสองจะพบกันในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
สถานการณ์ตึงเครียด...สงบลงชั่วคราว
“ผลลัพธ์โดยรวมนั้น ‘เป็นกลางแต่สร้างสรรค์’ และสอดคล้องกับสัญญาณที่ส่งผลต่อการคาดการณ์ของตลาดก่อนการประชุมสุดยอดครั้งนี้” ซู เยว่ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสประจำหน่วยข่าวกรองเศรษฐกิจ (EIU) อธิบาย
แล้วสหรัฐฯ-จีน ตกลงอะไรกันบ้าง?
- สหรัฐฯ ตกลง ‘ระงับ’ การสอบสวนตามมาตรา 301 เป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งเคยลงนามร่วมกันเมื่อปี 2020 ในช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก โดยเป็นการตรวจสอบกิจกรรมของจีนในภาคส่วนทางทะเล การขนส่ง และการต่อเรือ ขณะที่จีนก็จะ ‘ระงับ’ มาตรการตอบโต้ที่เกี่ยวข้อง
- สหรัฐฯ จะลดภาษีนำเข้าจากจีนที่บังคับใช้เมื่อต้นปีนี้ จาก 57% เหลือ 47% โดยลดอัตราภาษีที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาที่มีสารตั้งต้นของเฟนทานิลลงจาก 20% เหลือ 10%
- สหรัฐฯ ตกลง ‘ระงับ’ ใช้กฎขยายข้อจำกัดการส่งออกเป็นเวลา 1 ปี โดยขยายไปถึงบริษัทต่างชาติใดๆ ที่ถือหุ้นครึ่งหนึ่ง หรือมากกว่า ซึ่งถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตร
- จีนจะ ‘ระงับ’ มาตรการควบคุมการส่งออกที่เกี่ยวข้อง ซึ่งครอบคลุมวัสดุแร่แรร์เอิร์ธ อุปกรณ์ และเทคโนโลยี โดยจะศึกษาปรับปรุงขั้นตอนการดำเนินการในอนาคต
- จีนจะซื้อถั่วเหลือง และสินค้าเกษตรอื่นๆ ของสหรัฐฯ ‘จำนวนมหาศาล’
ซุน เฉิงฮ่าว นักวิจัยจากศูนย์ความมั่นคงระหว่างประเทศและยุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยชิงหวา กล่าวว่า “การเจรจาครั้งนี้กำหนดแนวทางและโอกาสสำหรับอนาคตไว้บ้างแล้ว เนื่องจากยังต้องมีการหารือเพิ่มเติมระหว่างทีมงานฝ่ายต่างๆ ต่อไป”
“การลดภาษี 10% นี้ ‘มีความหมาย’ เพราะเป็นสาระสำคัญของภาษีโดยตรง ในการเจรจา 5 รอบก่อนหน้านี้ไม่เคยมีการลดภาษีโดยตรงเลย แต่ครั้งนี้มี…และยังเปิดช่องว่างสำหรับการเจรจาในอนาคตของทั้งสองฝ่ายด้วย”
— ซุน กล่าว
อย่างไรก็ดี ซู เยว่ บอกว่า “การระงับใช้มาตรการส่งออกเป็นเวลา 1 ปีนั้นอยู่นอกเหนือความคาดหมายของตลาด ผมคิดว่ามันสร้างแรงกดดันให้ทั้งสองฝ่ายซึ่งต้องทำงานเพื่อให้บรรลุตามที่พวกเขาสัญญาไว้ แต่เราก็รู้ว่าในสมัยแรกของทรัมป์ จีนไม่ได้ทำตามสัญญาจริงๆ”
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2020 ทรัมป์ได้ลงนามในสิ่งที่เขาเรียกว่า ‘ข้อตกลงการค้าครั้งประวัติศาสตร์’ ซึ่งจีนตกลงจะซื้อสินค้าส่งออกจากสหรัฐฯ เพิ่มเติมมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.4 ล้านล้านบาท) ภายในสิ้นปี 2021
“เป้าหมายนี้ไม่เคยสำเร็จจริงๆ ในท้ายที่สุด จีนก็ซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ ได้เพียง 58% ของจำนวนเงินที่สัญญาไว้ ซึ่งไม่เพียงพอที่จะกลับไปสู่ระดับการนำเข้าก่อนเกิดสงครามการค้าเสียด้วยซ้ำ” งานวิจัยของสถาบันปีเตอร์สันเพื่อเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ (PIIE) ระบุ
แล้วประเด็นที่ไม่ได้ถูกพูดถึงในที่ประชุมล่ะ...
ประเด็นต่างๆ เช่น ไต้หวัน สิทธิมนุษยชน และทะเลจีนใต้ ล้วนไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า “นี่เป็นความพยายามร่วมกันของทั้งสองฝ่ายที่จะไม่ทำลายความเปราะบางของความสัมพันธ์ที่กำลังฟื้นตัว”
“ประเด็นเหล่านี้ถูกละเว้นไว้โดยเจตนา จุดโฟกัสอยู่ที่การยกเลิก หรือระงับข้อจำกัดต่างๆ ส่วนเรื่องอื่นๆ สามารถดำเนินการผ่านช่องทางอื่นได้ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ‘อย่าปล่อยให้เรื่องเหล่านี้ทำลายลำดับความสำคัญหลัก’ รัฐบาลทั้งสองประเทศกำลังเตรียมความพร้อมสำหรับการเยือนจีนของทรัมป์อย่างยิ่งใหญ่ในปีหน้า” ลิม ไท่ เหว่ย ผู้สังเกตการณ์ด้านกิจการเอเชียตะวันออกและศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยโซกะ เผย
ม็อก นักวิจัยจาก CCG กล่าวว่า “ไม่น่าประหลาดใจเท่าใดนักสำหรับประเด็นที่พวกเขาไม่ได้พูดถึงระหว่างการเจรจา ประเด็นด้านความมั่นคงที่ไม่ใช่ประเด็นระดับชาติ ซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และไม่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจจะไม่ได้รับการให้ความสำคัญจากรัฐบาลทรัมป์”
“ผมคิดว่ารัฐบาลทรัมป์จงใจลดความสำคัญของประเด็นเหล่านี้ลง เพื่อมุ่งเน้นไปที่การค้า การลงทุน และประเด็นด้านความมั่นคงแห่งชาติแบบดั้งเดิมมากขึ้น”
— ม็อก กล่าว
ผู้สังเกตการณ์บางคนบอกว่า สัญญาณที่ชัดเจนที่สุดของการควบคุมวาระการประชุมคือ ‘การงดเว้นประเด็นไต้หวัน’ “ไม่มีการกล่าวถึงช่องแคบไต้หวัน” อู๋ เซจือ ผู้ช่วยศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีทางทะเลไทเป กล่าว
อู๋ ชี้ให้เห็นว่า ทรัมป์กำหนดทิศทางอย่างไรในช่วงหลายวันก่อนการประชุมสุดยอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการเยือนญี่ปุ่น ซึ่งเขาได้พบกับนายกฯ ซานาเอะ ทาคาอิจิ และร่วมลงนามข้อตกลงหลายฉบับ “ก่อนการประชุมครั้งนี้ ท่าทีและการกระทำของทรัมป์ดูเหมือนจะมุ่งเป้าไปที่การสร้างอิทธิพลให้กับตัวเอง...ทรัมป์ถึงขั้นเรียกญี่ปุ่นว่า เป็น ‘พันธมิตรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอเมริกา’”
อย่างไรก็ตาม ซุน นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิงหวา ได้เตือนเหล่าผู้เชี่ยวชาญให้ระวังถึงการตีความที่มากเกินไปเกี่ยวกับประเด็นที่ถูกตัดออกจากวงเจรจา “ประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นผู้นำที่ยึดหลักปฏิบัติจริง ให้ความสำคัญกับบรรยากาศและสัญชาตญาณ บางทีในตอนแรกเขาอาจจะวางแผนที่จะพูดถึงบางประเด็น แต่เมื่อการเจรจาดำเนินไป เขาอาจตัดสินใจว่าควรจะมุ่งเน้นไปในประเด็นที่สามารถแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าได้ เช่น ปัญหาเฟนทานิล หรือการค้าซึ่งเป็นเรื่องที่เขานำเสนอต่อประชาชนอเมริกัน”
“และด้วยเวลาที่มีจำกัด ประเด็นบางประเด็นจึงถูกละเลยไปโดยธรรมชาติ...ไม่ได้หมายความว่าไต้หวัน หรือประเด็นอื่นๆ ไม่สำคัญ เพียงแต่ว่าประเด็นเหล่านี้ไม่ใช่หัวข้อสำคัญสำหรับการประชุมครั้งนี้โดยเฉพาะ”
ในสมการการเจรจาครั้งนี้ ‘ทรัมป์’ VS ‘สี จิ้นผิง’...ใครมีความสุขมากกว่ากัน?

“ผู้นำทั้งสองเดินทางออกจากที่ประชุม พร้อมกับความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่กลับไม่ได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด”
— นักวิเคราะห์ กล่าว
“ทั้งสองฝ่ายต่างยอมถอยโดยที่ไม่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองพ่ายแพ้” ซุน นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิงหวา กล่าว พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า “สิ่งที่ประกาศออกมาส่วนใหญ่นั้นก็เท่ากับการกลับคืนสู่สภาพเดิมก่อนที่จะเกิดข้อพิพาท”
ในแง่ของ ‘สี จิ้นผิง’ อาจได้ใจคนในประเทศ
ลิม ไท่ เหว่ย ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยโซกะ มองว่า “สำหรับผู้นำจีนและผู้ฟังชาวจีนในประเทศ การที่ไม่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด หรือสิ่งที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นถือ ‘เป็นเรื่องดีอย่างแท้จริง’”
ขณะที่ อู๋ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีทางทะเลไทเป บอกว่า “การประชุมสุดยอดครั้งนี้เปิดโอกาสให้ สี จิ้นผิง ได้แสดงบทบาทอำนาจและความมั่นคงทั้งในและต่างประเทศ”
“การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่าง สี จิ้นผิง กับทรัมป์ ที่มีการชมเชย ‘ความพยายามในการสร้างสันติภาพ’ ของทรัมป์ในฉนวนกาซาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แสดงให้เห็นถึงความเฉลียวฉลาดทางยุทธศาสตร์ของ สี จิ้นผิง เพื่อดึงดูดความสนใจของทรัมป์ที่อยากถูกมองว่าเป็น ‘ประธานาธิบดีแห่งสันติภาพโลก’” อู๋ กล่าว
ส่วน ‘ทรัมป์’ ก็อาจซื้อใจคนอเมริกันได้ส่วนหนึ่ง ก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมจะมาถึง
ในส่วนของทรัมป์นั้น อู๋มองว่า “ทรัมป์ดูเหมือนจะสามารถควบคุมวาระการประชุมได้มากกว่า เป็นผู้กำหนดทิศทางและบรรลุผลลัพธ์ที่เขาสามารถนำเสนอแก่ประชาชนในประเทศ เช่น ความก้าวหน้าในประเด็นเฟนทานิล การค้า และภาพลักษณ์ของการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทรัมป์ได้ภาพลักษณ์ที่เขาต้องการ นั่นคือ มั่นใจ มีอำนาจ และเป็นผู้นำการสนทนา”
ทว่าความตึงเครียดทางการค้าและเทคโนโลยีที่หยุดชะงัก ยิ่งทำให้รัฐบาลทรัมป์มีเวลาหายใจหายคอ และเตรียมพร้อมรับมือกับการเลือกตั้งกลางเทอมในปี 2026

อย่างไรก็ดี การเจรจาระหว่างทรัมป์และสีจิ้นผิงใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที ซึ่งสั้นกว่าที่นักวิเคราะห์บางคนคาดการณ์ไว้ แต่บางคนก็บอกว่า “ระยะเวลานั้นไม่ได้เผยให้เห็นอะไรมากนัก เนื่องจากหลายส่วนได้เตรียมการส่วนใหญ่ล่วงหน้ามาเป็นอย่างดีแล้ว”
ทั้งนี้ ม็อก นักวิจัยจาก CCG ตั้งข้อสังเกตว่า “ผลลัพธ์รายละเอียดจำนวนมาก เช่น ภาษีและการส่งออกแร่แรร์เอิร์ธ ได้รับการสรุปในที่ประชุมระดับปฏิบัติการก่อนหน้าแล้ว หรือจะได้รับการปรับปรุงในภายหลัง...การประชุมครั้งนี้เน้นที่บรรยากาศและท่าทีมากกว่าการเจรจาเชิงเทคนิคอย่างจริงจัง”
ในทำนองเดียวกัน ซู เยว่ นักเศรษฐศาสตร์จาก EIU ก็บอกว่า “สิ่งที่สามารถตกลงกันได้ส่วนใหญ่นั้นได้รับการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าโดยทั้งสองฝ่ายแล้ว การตอบตกลงแบบเห็นหน้ากันคงไม่ใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง” และเนื่องจากความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ซูก็มองว่า “การเจรจาอย่างลึกซึ้งนั้น ยังจำเป็นต้องหารือเชิงลึกต่อไปในระดับรัฐมนตรี
หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน การเยือนจีนของทรัมป์อาจเกิดขึ้นในเดือนเมษายนปีหน้า ตามด้วยการเยือนสหรัฐฯ ของ สี จิ้นผิง ในช่วงปลายปีหน้า ซึ่ง ซุน เฉิงฮ่าว นักวิจัยจากศูนย์ความมั่นคงระหว่างประเทศและยุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยชิงหวา อธิบายว่า “เป็นความคาดหวังเชิงกลยุทธ์ตลอดทั้งปี”
“สำหรับการประชุมที่ปูซานนั้นแทนความหมายถึงสิ่งที่ ซุน อธิบายว่าเป็น ‘สมดุลชั่วคราว’ ซึ่งเป็นความสงบที่ควบคุมได้ โดยสร้างขึ้นบนพื้นฐานการตอบแทนกันอย่างพอประมาณและการยับยั้งชั่งใจอย่างตั้งใจ...มันเป็นการหยุดชั่วคราว ไม่ใช่สันติภาพ”
— ซุน กล่าว
(Photo by : ANDREW CABALLERO-REYNOLDS / AFP)



