รัฐบาลของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่าจะประเมินผู้สมัครขอวีซ่าทำงาน เรียน และย้ายถิ่นฐานของสหรัฐฯ เพื่อคัดกรองคนที่มีความเห็น “ต่อต้านอเมริกา” ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อเสรีภาพในการพูด
สำนักงานบริการตรวจคนเข้าเมืองและสัญชาติของสหรัฐฯ ระบุใน “การแจ้งเตือนนโยบาย” ลงวันที่วันอังคารว่า ได้ให้คำแนะนำใหม่แก่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองเกี่ยวกับวิธีการใช้ดุลยพินิจในกรณีที่ผู้สมัครชาวต่างชาติ “สนับสนุนหรือส่งเสริมอุดมการณ์หรือกิจกรรมต่อต้านอเมริกา” เช่นเดียวกับ “การก่อการร้ายต่อต้านชาวยิว”
ทรัมป์อ้างว่าการแสดงออกหลายอย่างเป็นการต่อต้านอเมริกา รวมถึงนักประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์ที่บันทึกเรื่องราวการค้าทาสของสหรัฐฯ และผู้ประท้วงสนับสนุนปาเลสไตน์ที่ต่อต้านการโจมตีทางทหารในฉนวนกาซาของอิสราเอล ซึ่งเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ
สำนักงานบริการตรวจคนเข้าเมืองและสัญชาติของสหรัฐฯ ระบุว่า “กิจกรรมต่อต้านอเมริกาจะเป็นปัจจัยเชิงลบอย่างมากในการวิเคราะห์ตามดุลยพินิจ ผลประโยชน์ของอเมริกาไม่ควรมอบให้กับผู้ที่ดูหมิ่นประเทศและส่งเสริมอุดมการณ์ต่อต้านอเมริกา”
ประกาศดังกล่าวไม่ได้นิยามความหมายของการต่อต้านอเมริกา แต่คู่มือนโยบายอ้างถึงกฎหมายของรัฐบาลกลางส่วนหนึ่งที่ห้ามการโอนสัญชาติให้กับบุคคลที่ “ต่อต้านรัฐบาลหรือกฎหมาย หรือสนับสนุนรูปแบบการปกครองแบบเผด็จการ”
ข้อความฉบับเต็มกล่าวถึงผู้สนับสนุนลัทธิคอมมิวนิสต์หรือระบอบเผด็จการและผู้ที่สนับสนุนการล้มล้างรัฐบาลสหรัฐฯ และสนับสนุนความรุนแรงต่อเจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงปัจจัยอื่นๆ
สำนักงานบริการตรวจคนเข้าเมืองและสัญชาติของสหรัฐฯ ระบุว่า ได้ขยายประเภทของใบสมัครที่ต้องตรวจสอบโซเชียลมีเดีย และจะเพิ่มการตรวจสอบ “กิจกรรมต่อต้านอเมริกา” ลงในการตรวจสอบนั้นด้วย
แอรอน ไรช์ลิน-เมลนิก นักวิจัยอาวุโสประจำสภาตรวจคนเข้าเมืองอเมริกันกล่าวว่า ก้าวย่างดังกล่าวย้อนกลับไปถึงช่วงทศวรรษ 1950 เมื่อวุฒิสมาชิก โจเซฟ แมคคาร์ธี ไล่ล่าผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคอมมิวนิสต์ในแคมเปญที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของการข่มเหงทางการเมือง
“ลัทธิแมคคาร์ธีหวนกลับมาสู่กฎหมายตรวจคนเข้าเมืองอีกครั้ง” ไรช์ลิน-เมลนิกกล่าว ลัทธิต่อต้านอเมริกา “ไม่เคยมีมาก่อนในกฎหมายตรวจคนเข้าเมือง และคำจำกัดความของมันขึ้นอยู่กับรัฐบาลทรัมป์โดยสิ้นเชิง”
เดือนเมษายนที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่าจะเริ่มตรวจสอบโซเชียลมีเดียของอพยพและผู้สมัครวีซ่า เพื่อตรวจสอบดูว่าเกี่ยวข้องกับกิจกรรมต่อต้านชาวยิวหรือไม่ ซึ่งในเวลาต่อมาบรรดาผู้สนับสนุนสิทธิมนุษยชนได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับเสรีภาพในการพูด
Photo by ANGELA WEISS / AFP