การประท้วงในเมืองหลวงของเนปาลทวีความรุนแรงขึ้นเป็นวันที่ 3 ในวันพุธ (10 ก.ย.) ท่ามกลางความโกรธและความผิดหวังที่สะสมมานานหลายปีในหมู่ผู้ประท้วง ซึ่งถูกจุดชนวนขึ้นจากการที่รัฐบาลของนายกฯ เนปาล เค.พี.ชาร์มา โอลี ที่เพิ่งประกาศลาออกเมื่อวันอังคาร (9 ก.ย.) สั่ง ‘ห้ามใช้โซเชียลมีเดีย 26 แพลตฟอร์มรวมถึง Facebook, X และ YouTube’ เมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว
แน่นอนว่าผู้ประท้วงส่วนใหญ่นั้นต่างก็เป็นวัยรุ่นเจน Z ของเนปาลที่แสดงความไม่พอใจต่อมาตรการดังกล่าว ประกอบกับปัญหาสังคมที่ยืดเยื้อมานานซึ่งส่งผลกระทบต่อเนปาลมาตลอด 10 ปีนับตั้งแต่เนปาลเปลี่ยนระบอบการปกครองจากระบอบกษัตริย์เป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตย
แม้รัฐบาลจะยกเลิกคำสั่งห้ามใช้โซเชียลมีเดียแล้วในวันอังคาร (9 ก.ย.) และในวันเดียวกัน นายกฯ โอลี และรัฐมนตรีท่านอื่นๆ ก็ประกาศลาออกจากตำแหน่ง แต่ดูเหมือนว่าความไม่สงบจะยังคงดำเนินต่อไป ขณะที่ผู้ประท้วงต่างไล่จุดไฟเผาสำนักงานรัฐบาลและบ้านของนักการเมือง
และนี่คือต้นตอปัญหาที่หยั่งรากลึกมานานในสังคมเนปาล...
ปัญหาว่างงานที่กระจุกตัวในหมู่วัยหนุ่มสาว

หนึ่งในวิกฤตการณ์ที่ลุกลามอย่างช้าๆ ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศนั้นก็คือ ‘ปัญหางาน’ ที่หาอันยากยิ่งในประเทศบนภูเขาแห่งนี้ที่มีประชากร 30 ล้านคน ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างอินเดียและจีน โดยจากผลสำรวจมาตรฐานการครองชีพเนปาลที่เผยแพร่โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติเมื่อปี 2024 พบว่า “อัตราการว่างงานอยู่ที่ 12.6%”
ทว่าตัวเลขเหล่านี้มักจะต่ำกว่าความเป็นจริงของปัญหา เนื่องจากแสดงเฉพาะผู้ที่ทำงานในระบบเศรษฐกิจที่เป็นทางการเท่านั้น ไม่ได้นับรวมชาวเนปาลส่วนใหญ่ที่ทำงานโดยไม่มีงานที่รายงานอย่างเป็นทางการ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตรกรรม และอัตราการว่างงานส่วนใหญ่มักกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มคนหนุ่มสาว
ชายหนุ่มและหญิงสาวกว่าพันคนต้องเดินทางออกนอกประเทศทุกวันเพื่อไปทำงานตามสัญญาระยะยาวในประเทศที่ร่ำรวยน้ำมันอย่างอ่าวเปอร์เซียและมาเลเซีย ขณะที่อีกหลายหมื่นคนระหกระเหินทำงานในอินเดียในฐานะแรงงานอพยพตามฤดูกาล นอกจากนี้ ข้อมูลของรัฐบาลยังเผยให้เห็นว่ามีผู้คนมากกว่า 741,000 คนเดินทางออกนอกประเทศในปีที่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ไปทำงานก่อสร้าง หรือเกษตรกรรม
กระแส #NepoKids อภิสิทธิ์ชนชั้นนำ กับการคอร์รัปชั่นที่สั่งสมมานาน!!!
“ความแตกต่างระหว่างสิทธิพิเศษของชนชั้นนำและความยากลำบากในชีวิตประจำวันนั้น กระทบกระเทือนจิตใจวัยรุ่นเจน Z อย่างรุนแรง และกลายเป็นแกนหลักที่ขับเคลื่อนให้เกิดการประท้วงในครั้งนี้อย่างรวดเร็ว”
— ราคิบ ไนก์ ผู้อำนวยการบริหารศูนย์ศึกษาความเกลียดชัง กล่าว
กระแส ‘เนโป คิดส์’ (Nepo Kids) ของเนปาล ซึ่งย่อมาจากคำว่า ‘Nepotism’ นั้นใช้อ้างถึง ‘เหล่าลูกหลานชนชั้นนำทางการเมืองที่ใช้ชีวิตหรูหราและมีสิทธิพิเศษมากมาย’ ขณะที่คนหนุ่มสาวส่วนใหญ่ต้องดิ้นรนหางานทำ
ในบรรดาภาพที่ถูกแชร์บ่อยที่สุดนั้น มีภาพถ่ายที่อ้างว่าเป็นภาพลูกชายของรัฐมนตรีถ่ายรูปคู่กับกล่องที่ติดป้าย ‘Louis Vuitton’ และ ‘Cartier’ ซึ่งจัดเรียงเป็นรูปต้นคริสต์มาส อีกทั้งยังมีวิดีโอที่ตัดต่อภาพซึ่งผู้ใช้กล่าวว่าเป็นลูกชายของอดีตผู้พิพากษา กำลังกินอาหารในร้านอาหารหรูหราและถ่ายรูปคู่กับรถยนต์เมอร์เซเดส
‘Transparency International’ องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ ได้จัดอันดับให้เนปาลเป็นหนึ่งในประเทศที่มี ‘การคอร์รัปชันมากที่สุด’ ในเอเชีย แม้ว่าจะมีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการสมรู้ร่วมคิดระหว่างนักการเมืองที่ได้รับการเลือกตั้งและเจ้าหน้าที่ แต่กลับมีข้อกล่าวหาเพียงไม่กี่กรณีที่นำไปสู่การดำเนินคดี
ยกตัวอย่างเช่น การสอบสวนของรัฐสภาที่พบว่า มีการยักยอกเงินอย่างน้อย 71 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.2 พันล้านบาท) ในการก่อสร้างสนามบินนานาชาติในเมืองโปขระ แม้จะมีการสอบสวนเพิ่มเติมและดำเนินการเฉพาะเจาะจงต่อตัวผู้ต้องสงสัย แต่ก็ยังไม่มีใครถูกตั้งข้อหา
ในอีกกรณีหนึ่ง ผู้นำเนปาลถูกจับได้ว่ารับเงินจากคนหนุ่มสาวที่ใฝ่ฝันจะหางานทำในสหรัฐอเมริกาภายใต้ข้ออ้างสถานะผู้ลี้ภัยซึ่งเดิมมีไว้สำหรับชาวเนปาลเชื้อสายชาติพันธุ์ที่ถูกบังคับให้เนรเทศออกจากประเทศภูฏานซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน ในเคสนี้ก็เหมือนกัน นักการเมืองจากทุกพรรคถูกระบุชื่อในการสอบสวน แต่กลับมีเพียงสมาชิกฝ่ายค้านเท่านั้นที่ถูกตั้งข้อหา
อย่างไรก็ดี เยาวชนจำนวนหนึ่งรู้สึกต่อต้านเมื่อเห็นกลุ่มชนชั้นสูงเนปาลบางส่วนสะสมที่ดินจำนวนมากให้กับบุตรหลานของตัวเอง ซึ่งเยาวชนหลายคนเรียกร้องให้รัฐเปิดการสอบสวนว่าที่ดินเหล่านั้นถูกซื้อมาอย่างไร ขณะที่การแบนโซเชียลมีเดียนั้นกลับยิ่งเพิ่มความไม่พอใจแก่ผู้ประท้วง ซึ่งพวกเขามองว่า รัฐบาลพยายามควบคุมการวิพากษ์วิจารณ์ต่อความไม่เท่าเทียมที่พวกเขายังคงเผชิญอยู่
...แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป?

แม้ว่านายกฯ โอลีจะลงจากตำแหน่งแล้ว แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าใครจะมาแทนที่เขา หรือจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป เนื่องจากดูเหมือนจะไม่มีใครรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีรายงานว่าผู้นำบางคน รวมถึงรัฐมนตรี ได้หลบภัยไปอยู่กับกองกำลังรักษาความปลอดภัย จนถึงขณะนี้ ผู้ประท้วงส่วนใหญ่ก็ยังคงฝ่าฝืนมาตรการเคอร์ฟิวที่ไม่มีกำหนดในกรุงกาฐมาณฑุและที่อื่นๆ
ผู้ประท้วงเรียกร้องให้มีการตรวจสอบและปฏิรูปการปกครอง อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลไม่ตอบสนองอย่างจริงจัง นักวิเคราะห์เตือนว่า “ความไม่สงบอาจทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีกลุ่มนักศึกษาและกลุ่มประชาสังคมเข้าร่วมประท้วงด้วย”
(Photo by PRABIN RANABHAT / AFP)