หลังจากไทย-กัมพูชาปะทะกันนาน 5 วัน ทั้งสองประเทศก็ตกลงหยุดยิงกันเมื่อวันที่ 28 ก.ค.จากแรงกดดันของสหรัฐฯ โดยมีมาเลเซียเป็นตัวกลางช่วยคุย แต่ดูเหมือนว่ากัมพูชาจะละเมิดข้อตกลงหยุดยิงไปหลายครั้ง
ความขัดแย้งดังกล่าวมุ่งเน้นไปที่ปราสาทเก่าแก่สองแห่ง ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธมและปราสาทพระวิหารในพื้นที่ชายแดน ซึ่งทั้งสองประเทศต่างก็อ้างสิทธิ์ว่าปราสาทเหล่านี้เป็นของตัวเอง
นักวิเคราะห์จากสำนักข่าวต่างประเทศได้ออกมาวิเคราะห์เหตุผลเบื้องลึกเบื้องหลังของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น และมองว่าการที่ข้อพิพาทชายแดนจะได้รับการแก้ไขเร็วๆ นี้นั้นมี ‘ความหวังเพียงน้อยนิด’
สภาพแวดล้อม ‘ไม่เอื้อ’ ต่อสันติภาพที่ยั่งยืน
นักวิเคราะห์จากสำนักข่าว Frankfurter Rundschau เตือนว่า “อย่าหวังลมๆ แล้งๆ ว่าการหยุดยิงจะช่วยแก้ปัญหาใดๆ ได้”
“ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่าความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันนั้นรุนแรงเพียงใด...ทั้งสองรัฐที่มีกลไกควบคุมตามระบอบประชาธิปไตย ได้แก่ การเลือกตั้งเสรีและเสรีภาพสื่อ ทำหน้าที่ได้เพียงจำกัด มันแทบจะไม่สามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสันติภาพที่ยั่งยืนได้”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐบาลต้องเผชิญกับความท้าทายทางการเมืองครั้งใหญ่ ทั้งในกัมพูชาและไทย ค่าครองชีพสูงมากจนแม้แต่ชนชั้นกลางก็เริ่มประสบปัญหา อย่างไรก็ตาม ส่วนที่เหลือของโลกน่าจะสนใจเรื่องนี้ก็ต่อเมื่อมีการปะทะกันมากขึ้น และประชาชนหลายแสนคนต้องอพยพ ดังเช่นในปัจจุบัน”
ความไม่มั่นคงยังคงดำเนินต่อไป...
The Irish Times คาดการณ์ว่า “ความขัดแย้งนี้มีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไปและทวีความรุนแรงขึ้น”
“การหยุดยิงอาจยังคงมีผลบังคับใช้ แต่ไม่ได้ช่วยเยียวยาความไม่มั่นคงที่เป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง ซึ่งมีเบื้องหลังคือ อดีตนายกฯ สองท่าน ได้แก่ ฮุน เซน ผู้นำเผด็จการที่ครองอำนาจในกัมพูชามาอย่างยาวนาน และ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ของไทย”
“พวกเขาเคยเป็นเพื่อนสนิทกัน...แต่เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างฮุน-ทักษิณเลือนหายไป กลุ่มชาตินิยมในกองทัพทั้งสองจึงฉวยโอกาสระบายความคับข้องใจเก่าๆ และแต่ละฝ่ายยังคงกล่าวหาอีกฝ่ายว่าเป็นต้นเหตุของการโจมตีปราสาทพระวิหาร ‘สันติภาพที่ไม่แน่นอน’ คือสิ่งที่ดีที่สุดที่หวังได้”
‘ทรัมป์’ กำลังเติมเชื้อไฟให้กับความไม่แน่นอนของโลก?
นักวิเคราะห์จาก Der Standard ออกมาปฏิเสธภาพลักษณ์ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในฐานะ ‘ตัวแทนสันติภาพ’
“ไม่ใช่ว่าผลที่ตามมาจากนโยบายของทรัมป์หรอกหรือที่กำลังเติมเชื้อไฟให้กับความไม่แน่นอนของโลก? โดยเฉพาะการตัดงบประมาณหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐฯ (USAID) กำลังส่งผลกระทบอย่างหนักต่อทั้งไทยและกัมพูชา รวมไปถึงภัยคุกคามจากภาษีศุลกากรก็ส่งผลกระทบที่เลวร้ายยิ่งกว่า...แน่นอนว่าความขัดแย้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นมีมานานกว่านโยบายทรัมป์อยู่หลายปีมาก”
“ทั้งรากเหง้าและต้นตอของความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นล่าสุดนี้ต้องได้รับการประเมินอย่างเป็นอิสระจากผู้นำสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม นโยบายของทรัมป์ที่แลกสันติภาพกับสภาพเศรษฐกิจที่ดียังคงเป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัว...และใช่ มันอาจได้ผลในบางกรณี แต่โดยรวมแล้ว ทรัมป์ไม่ได้ทำให้โลกเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยขึ้น แต่ตรงกันข้ามเลยต่างหาก”
(Photo by Chor Sokunthea / AFP)