ศึกชิงเก้าอี้นายกฯ เดือด! สื่อนอกชี้ไทยกำลังเผชิญกับความ ‘ไม่แน่นอน’ ทางการเมือง

30 ส.ค. 2568 - 05:57

  • The Straitstimes รายงานว่า “หลังจากคำตัดสินของศาลออกมาเพียงไม่กี่ชั่วโมง การแข่งขันจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ในประเทศไทยก็เข้มข้นขึ้น เมื่อพรรคการเมืองต่างๆ พยายามหาเสียงสนับสนุนจากคู่แข่งเพื่อให้ได้เสียงข้างมากในการจัดตั้งรัฐบาล”

  • กลุ่มธุรกิจชั้นนำของไทยเตือนว่า “ความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่อาจส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายงบประมาณ และขัดขวางการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ รวมถึงการแก้ไขปัญหาชายแดนกับกัมพูชา”

  • ขณะที่ AP News ระบุว่า “คนไทยต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอย่างกะทันหันมาเป็นเวลานานอันเนื่องมาจากการรัฐประหาร ซึ่งเกิดขึ้นมากกว่าสิบครั้งนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1930...”

ศึกชิงเก้าอี้นายกฯ เดือด! สื่อนอกชี้ไทยกำลังเผชิญกับความ ‘ไม่แน่นอน’ ทางการเมือง

วิกฤตการณ์ทางการเมืองของไทยทวีความรุนแรงขึ้น หลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน ‘ปลด’ นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ออกจากตำแหน่งเมื่อวันศุกร์ (29 ส.ค.) ที่ผ่านมา ฐาน ‘ทำลาย’ ผลประโยชน์ของชาติและ ‘ละเมิด’ มาตรฐานจริยธรรมปมคลิปเสียงสนทนาทางโทรศัพท์กับ ฮุน เซน อดีตผู้นำกัมพูชา ส่งผลให้รัฐบาลที่เปราะบางอยู่แล้วตกอยู่ในความโกลาหล 

The Straitstimes รายงานว่า “หลังจากคำตัดสินของศาลออกมาเพียงไม่กี่ชั่วโมง การแข่งขันจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ในประเทศไทยก็เข้มข้นขึ้น เมื่อพรรคการเมืองต่างๆ พยายามหาเสียงสนับสนุนจากคู่แข่งเพื่อให้ได้เสียงข้างมากในการจัดตั้งรัฐบาล” 

อนุทิน ชาญวีรกูล นักธุรกิจที่ผันตัวมาเป็นนักการเมือง กลายเป็นตัวเต็งที่สื่อต่างชาติรายงานว่า จะได้เป็นผู้นำรัฐบาลชุดใหม่ หลังเดินเกมเร็วเร่งหาแนวร่วมจัดตั้งรัฐบาล ทั้งนี้ อนุทินยังเผยว่า เขาพร้อมที่จะเป็นนายกฯ คนใหม่ และพรรคของเขาได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสภานิติบัญญัติมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลชุดต่อไปได้ 

ส่วนพรรคเพื่อไทยที่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลชินวัตรก็อ้างว่ายังคงได้รับการสนับสนุนมากพอที่จะรักษาอำนาจไว้ได้ แม้ว่าการขาดพรรคร่วมที่มีสมาชิก 25 คนจะเผยให้เห็นถึงรอยร้าวภายในพรรคก็ตาม 

ทั้งนี้ การลงมติในรัฐสภาเพื่อเลือกนายกฯ คนใหม่น่าจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 3-5 กันยายน ภายใต้รัฐธรรมนูญไทย ผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกฯ จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรส่วนใหญ่ที่มาจากการเลือกตั้ง 

“พรรคร่วมรัฐบาลที่เข้ามามีอำนาจในครั้งต่อไปไม่น่าจะมีเสียงสนับสนุนที่แข็งแกร่งในรัฐสภา ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะชะงักงันทางนโยบายในช่วงเวลาที่แนวโน้มเศรษฐกิจของไทยกำลังย่ำแย่ลงจากผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงที่สุดในภูมิภาค”

The Straitstimes รายงาน 

พรรคภูมิใจไทยของอนุทิน ซึ่งถอนตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาลของแพทองธารเมื่อเดือนมิถุนายน เผยว่า หากสามารถเข้ามามีอำนาจได้ จะยุบสภาภายใน 4 เดือน พร้อมให้คำมั่นว่าจะจัดการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญและดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา  

AP News รายงานว่า “คนไทยต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอย่างกะทันหันมาเป็นเวลานานอันเนื่องมาจากการรัฐประหาร ซึ่งเกิดขึ้นมากกว่าสิบครั้งนับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1930 โดยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ศาลได้เข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสั่งปลดนายกฯ มาแล้ว 5 คน และยุบพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้ง 3 พรรค ซึ่งเป้าหมายส่วนใหญ่ก็คือ ผู้ท้าทายกลุ่มอำนาจกษัตริย์นิยมที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพและศาล” 

คืนอำนาจให้ ‘ประชาชน’...? 

   (Photo by Lillian SUWANRUMPHA / AFP)
(Photo by Lillian SUWANRUMPHA / AFP)

พรรคภูมิใจไทยให้คำมั่นว่า “จะจัดตั้งรัฐบาลเพื่อบริหารประเทศในช่วงเวลาแห่งวิกฤตการณ์ด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ ธรรมชาติ และสังคม ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อชีวิตและคุณภาพชีวิตของประชาชน...เป้าหมายก็คือ การนำพาประเทศชาติให้พ้นจากวิกฤตการณ์ แล้วจึงคืนอำนาจให้ประชาชนผ่านการเลือกตั้ง” 

อย่างไรก็ดี การปลดนายกฯ ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงวิธีที่กลุ่มอนุรักษนิยมของประเททศ ซึ่งนักวิเคราะห์ระบุว่าเป็น ‘การรวมตัวกันของข้าราชการ ทหาร และชนชั้นนำทางธุรกิจ’ สามารถขัดขวางรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ยุบพรรคการเมือง และวางแผนการปกครองภายใต้การสนับสนุนของกองทัพในระยะยาวได้ 

“การปลดแพทองธารเป็นการยืนยันถึงบรรทัดฐานที่น่าวิตกของผู้พิพากษาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งที่ลิดรอนเสียงสนับสนุนจากประชาชนหลายล้านคน...หากไม่มีผู้สืบทอดตำแหน่งที่ชัดเจน ประเทศไทยอาจเสี่ยงต่อภาวะชะงักงันและภาวะผู้นำที่ไร้ทิศทางในช่วงเวลาที่ประเทศต้องเผชิญกับความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจจากข้อตกลงการค้าของสหรัฐฯ และความตึงเครียดบริเวณชายแดนกับกัมพูชา”

ดร. ณพล จาตุศรีพิทักษ์ นักวิจัยแลกเปลี่ยน จากสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค (ISEAS Yusof-Ishak Institute) กล่าว 

กลุ่มธุรกิจชั้นนำของไทยเตือนว่า “ความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่อาจส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายงบประมาณ และขัดขวางการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ รวมถึงการแก้ไขปัญหาชายแดนกับกัมพูชา” 

“ความวุ่นวายทางการเมืองอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจมูลค่า 550,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 17 ล้านล้านบาท) และทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ”

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เตือน 

นักลงทุนต่างชาติได้ขายหุ้นไทยสุทธิไปกว่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 8 หมื่นล้านบาท) ในปี 2025 เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจซึ่งมีอัตราเติบโตเฉลี่ยเพียง 2% ต่อปีในทศวรรษที่ผ่านมา แย่ลงมากเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคอย่างอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ 

“ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงลำดับความสำคัญภายในรัฐบาลผสมชุดใหม่ ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแสวงหาผลประโยชน์มากกว่าการตอบสนองต่อภาวะเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน...นอกเหนือจากผลลัพธ์ด้านการพัฒนาในวงกว้าง เช่น การเติบโตของ GDP แล้ว สิ่งนี้ยังบ่งบอกถึงปัญหาต่อความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของไทยที่กำลังถดถอยอยู่แล้ว และตำแหน่งของไทยในห่วงโซ่คุณค่าการผลิตระดับโลก”

ดร. ณพล กล่าว 

(Photo by MANAN VATSYAYANA / AFP) 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์