จากกรณีภาพของโดรน 4 ใบพัดของกองทัพไทยบินเหนือสิ่งก่อสร้างหลังคาเหล็กก่อนจะทิ้งระเบิด ไม่กี่วินาทีต่อมาเป้าหมายดังกล่าวก็ระเบิดควันโขมงกลายเป็นไวรัลในโลกโซเชียล จนออกไปสู่สายตาชาวต่างชาติและกลายเป็นที่สนใจ
The Telegraph สื่ออังกฤษพูดถึงเรื่องนี้ว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สงครามโดรนได้แพร่กระจายจากสนามเพลาะทางตะวันออกของยูเครน มายังพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ร้อนระอุ แม้คลิปวิดีโอที่เผยแพร่บนโซเชียลมีเดียอาจดูคล้ายกัน แต่ก็มีความแตกต่างสำคัญอยู่ประการหนึ่ง
การที่ยูเครนใช้โดรนราคาถูกนั้น เป็นความพยายาม (อย่างน้อยก็ในช่วงแรก) สร้างความเท่าเทียมกับรัสเซียซึ่งมีทั้งกำลังคนและอาวุธเหนือกว่ามาก
ส่วนกองกำลังชนกลุ่มน้อยในเมียนมา ก็แข่งขันกันพัฒนาเทคโนโลยีโดรน แม้จะมีอาวุธน้อยกว่ากองทัพรัฐบาล แต่มีการดัดแปลงโดรนเชิงพาณิชย์ให้กลายเป็นอาวุธสังหาร
แต่การปะทะกันที่ชายแดนไทย-กัมพูชาพลิกทุกอย่างอย่างสิ้นเชิง ไทยเหนือกว่าทั้งโดรน ทั้งกองทัพที่ใหญ่กว่ากัมพูชา
การเปลี่ยนบทบาทของโดรนจากเทคโนโลยีเฉพาะหน้า มาเป็นเทคโนโลยีหลักของกองทัพยุคใหม่ อาจเป็นการเน้นย้ำถึงการปฏิวัติบทบาทของโดรนในสนามรบ และนักวิเคราะห์กล่าวว่า กรณีนี้เป็นเสียงเตือนให้ชาติตะวันตกรู้ตัว
มาร์เซล พลิชตา อดีตนักวิเคราะห์ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ และผู้เชี่ยวชาญด้านสงครามโดรนเผยกับสำนักข่าว The Telegraph ว่า “ปกติแล้วโดรนจะถูกพูดถึงในฐานะที่เป็นตัวช่วยของฝ่ายที่อ่อนแอกว่า เช่นในกรณีของยูเครน หรือกลุ่มกบฏในเมียนมา ดังนั้น หากปราศจากบริบทใดๆ คุณคงคิดว่ากัมพูชาน่าจะได้ประโยชน์จากโดรน แต่จนถึงขณะนี้ กัมพูชายังไม่สามารถไล่ตามศักยภาพของโดรนไทยได้เลย”
เราะห์มาน ยาคอบ ผู้เชี่ยวชาญด้านกลาโหมและความมั่นคงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากสถาบันคลังสมอง Lowy Institute เผยว่า “ยูเครนกับเมียนมาคล้ายกัน...ตรงที่พวกเขาใช้โดรนเพื่อให้เกิดผลทวีคูณเพื่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามที่เหนือกว่า”
“ผมมองว่าที่ผ่านมาไทยจับตามองและเรียนรู้ และตอนนี้พวกเขาใช้โดรนโจมตีจุดสำคัญของกองทัพกัมพูชา เป้าหมายแรกคือฐานบัญชาการ เป้าหมายที่สองคือคลังอาวุธ เมื่อคุณโจมตีทั้งสองเป้าหมายนี้ได้ ก็จะสร้างความปั่นป่วนให้กับการบัญชาการของอีกฝ่าย และเมื่อซัพพลายเชนถูกทำลาย ศัตรูก็ไม่อาจปฏิบัติการโจมตีประเทศไทยได้อย่างเสรีอีกต่อไป”
ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะตกลงหยุดยิงกันเมื่อวันจันทร์ (28 ก.ค.) กัมพูชาได้ใช้โดรนสอดแนม แต่ไทยได้ใช้โดรน 4 ใบพัด โดรน FPV (first-person view) และโดรนกามิกาเซ่ หรือโดรนพลีชีพแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ซึ่งทั้งหมดถูกส่งขึ้นไปครองน่านฟ้าควบคู่กับอาวุธแบบดั้งเดิม เช่นเครื่องบินรบ F-16
พลิชตามองว่า โดรนเหล่านี้ส่วนใหญ่ไทยน่าจะซื้อมาจากบริษัทผลิตอาวุธสหรัฐฯ และอิสราเอล ขณะที่เมื่อเดือนที่แล้วกองทัพอากาศไทยประสบความสำเร็จในการทดสอบโดรนกามิกาเซ่ที่พัฒนาขึ้นเอง
กัมพูชาใช้งบประมาณกลาโหมราว1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกองทัพอากาศมีกำลังพลราว 1,500 นาย เครื่องบินขนส่ง 20 ลำ และเฮลิคอปเตอร์ขนส่งและอเนกประสงค์ 26 ลำ ขณะที่กองทัพไทยมีงบประมาณ 5,730 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กองทัพอากาศมีกำลังพล 46,000 นาย อากาศยานที่ทำการรบได้ 112 ลำ รวมทั้ง F-16 28 ลำ และ Gripen อีก 11 ลำ
ยุทธศาสตร์ของไทยยังทำลายข้อโต้แย้งจากชาติตะวันตกที่ว่าโดรนไม่มีประสิทธิภาพในพื้นที่ป่าดงดิบ ความขัดแย้งล่าสุดซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไปแล้วอย่างน้อย 35 ราย มีศูนย์กลางอยู่ที่แนวชายแดนที่เป็นข้อพิพาทและมีป่าไม้หนาแน่นตามแนวเทือกเขาดงรก
พลิชตาเผยว่า “มีสมมติฐานซึ่งส่วนใหญ่มาจากฝั่งตะวันตก และไม่จำเป็นต้องเป็นมุมมองของกองทัพเอเชีย ว่าโดรนจะไม่มีประโยชน์ในความขัดแย้งแบบนี้ เนื่องจากภูมิประเทศ (และ) พุ่มไม้มีความหนาแน่นสูง แต่เห็นได้ชัดว่าจากภาพที่เห็นไม่ใช่เช่นนั้น”
ยาคอบกล่าวเสริมว่า การปะทะกันเป็นเวลา 5 วันนี้ อาจกระตุ้นให้มีการลงทุนด้านโดรนเพิ่มขึ้นทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอาจส่งผลให้ประเทศต่างๆ ต้องทบทวนระบบป้องกันภัยทางอากาศของตัวเองอีกครั้ง
ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชายังเน้นย้ำถึงความรวดเร็วของสงครามสมัยใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปทั่วโลก
โรเบิร์ต โทลลาสต์ นักวิจัยประจำทีมยุทธศาสตร์ภาคพื้นดินที่สถาบันวิจัยอิสระด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศของอังกฤษ (RUSI) ระบุว่า กองทัพไทยดูเหมือนจะ “ก้าวหน้ากว่ากองทัพนาโตมากในด้านนี้” และว่า “เรากำลังเห็นความขัดแย้งระหว่างรัฐครั้งที่สอง ต่อจากยูเครน ซึ่งมีการใช้โดรนหลายใบพัดเชิงพาณิชย์ ผลกระทบจากเรื่องนี้ชัดเจนมากสำหรับนาโตและพันธมิตร”
โทลลาสต์กล่าวว่า สหราชอาณาจักรกำลังจะรับมอบโดรน 4 ใบพัดไม่กี่พันตัวในเดือนสิงหาคมนี้ ขณะที่อเมริกาตั้งเป้าว่าจะมีประมาณ 10,000 ตัวในปีนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว นี่เป็นจำนวนที่น้อยมาก ในยูเครน “จำนวนนี้คงอยู่ได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น”
Telegraph ระบุว่า นอกเหนือจากการเรื่องความล่าช้าในการจัดหา การฝึกอบรม และการบูรณาการโดรนเหล่านี้แล้ว การพัฒนาระบบต่อต้านโดรนยังต้องเร่งตัวขึ้นด้วย
“เรากำลังก้าวไปถึงจุดนั้น ด้วยระบบอันประณีต เช่น อาวุธที่ควบคุมด้วยคลื่นความถี่วิทยุของสหราชอาณาจักร แต่ยังมีอีกหลายระบบที่ยังอยู่ในขั้นทดลอง” โทลลาสต์กล่าว “กองทัพอังกฤษและพันธมิตรถูกขัดขวางด้วยระบบราชการและกฎระเบียบด้านความปลอดภัยที่ทำให้การฝึกอบรมและการทดลองระบบเหล่านี้ล่าช้า สหรัฐฯ ก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกัน แต่ (กำลัง) วางแผนที่จะลดขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อนเพื่อการฝึกด้วยโดรน”