บทวิเคราะห์: สหรัฐฯ-จีนเข้ามาไกล่เกลี่ยความขัดแย้งไทย-กัมพูชาเพราะห่วงผลประโยชน์ตัวเอง

3 ส.ค. 2568 - 07:44

  • ผู้เชี่ยวชาญมองว่า แม้ว่าข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทยกับกัมพูชาจะเป็นชัยชนะของอาเซียน แต่สหรัฐฯ และจีนเข้ามามีบาบาทสำคัญมาก

  • สหรัฐฯ ใช้กลยุทธ์การให้รางวัลเมื่อปฏิบัติตามและลงโทษเมื่อไม่ปฏิบัติตาม โดยใช้ภาษีศุลกากรเป็นตัวต่อรอง ขณะที่จีนใช้วิธีการมีส่วนร่วมแบบเงียบๆ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองในภูมิภาค

บทวิเคราะห์: สหรัฐฯ-จีนเข้ามาไกล่เกลี่ยความขัดแย้งไทย-กัมพูชาเพราะห่วงผลประโยชน์ตัวเอง

นอกจากจะได้เห็นบทบาทของอาเซียนในการยื่นมือเข้ามาไกล่เกลี่ยความชัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาแล้ว เรายังได้เห็นมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีนเข้ามามีบาบาทในครั้งนี้ด้วย  

แถลงการณ์ร่วมที่ออกภายหลังการตกลงหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไขระหว่างไทยกับกัมพูชาที่มาเลเซียเปิดเผยว่า การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นโดยสหรัฐฯ ร่วมด้วย โดยมีจีน “มีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน”

กระทรวงการต่างประเทศจีนแถลงว่า ตัวแทนจากไทยและกัมพูชาพบกันอย่างไม่เป็นทางการที่เซี่ยงไฮ้ ขณะที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศว่าตัวเองเป็น “ประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ”

อิลังโก คารุปปานนัน อดีกนักการทูตมาเลเซียและอดีตข้าหลวงใหญ่ประจำสิงคโปร์และเอกอัครราชทูตประจำเลบานอนเผยกับ Channel News Asia ว่า แม้ว่าข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทยกับกัมพูชาจะเป็นชัยชนะของอาเซียน แต่สหรัฐฯ และจีนเข้ามามีบาบาทสำคัญมาก “มาเลเซียช่วยให้ได้ผลลัพธ์ออกมา แต่ทำภายใต้สิ่งแวดล้อมที่มีแรงผลักและดันจากภายนอก”

แต่จีนกับสหรัฐฯ ใช้แนวทางแตกต่างกัน

นักวิเคราะห์มองว่า สหรัฐฯ ใช้กลยุทธ์การให้รางวัลเมื่อปฏิบัติตามและลงโทษเมื่อไม่ปฏิบัติตาม (carrot-and-stick strategy) โดยใช้ภาษีศุลกากรเป็นตัวต่อรอง ขณะที่จีนใช้วิธีการมีส่วนร่วมแบบเงียบๆ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองในภูมิภาค

ผู้สังเกตการณ์มองว่าตอนนี้มุมมองของสองมหาอำนาจยังสอดคล้องกันอยู่ในเรื่องของการป้องกันไม่ให้เกิดความตึงเครียดมากกว่านี้ในภูมิภาคนี้ อย่างน้อยก็ในเชิงกลยุทธ์ เนื่องจากอาจกระทบต่อเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ของตัวเอง

นักวิเคราะห์มองว่า ทั้งสหรัฐฯ และจีนจะไม่ได้รับประโยชน์จากความไม่มั่นคงในระยะยาวตามแนวชายแดนแม่น้ำโขง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน คุกคามการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และก่อให้เกิดผลกระทบทางการเมืองในวงกว้างทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แผ่นดินใหญ่

ส่วนในระยะกลาง นักวิเคราะห์เผยว่า ทั้งสองมหาอำนาจอาจได้ชื่อเสียงจากการช่วยป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตรุนแรง แต่แนวทางที่แตกต่างกันก็ทำให้เห็นการรับรู้ที่มีมายาวนานคือ สหรัฐฯ แข็งแกร่งแต่ก็ดำเนินการอย่างมีกลยุทธ์ ส่วนจีนระมัดระวังตัวแต่ก็ปรากฏตัวตลอด

แนวทางนี้จะก่อใหห้เกิดผลประโยชน์ทางการทูตที่ยั่งยืนหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าการตกลงหยุดยิงจะมีผลหรือไม่ และมหาอำนาจทั้งสองจะตอบสนองอย่างไรหากสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย

คารุปปานนันเผยว่า “ทั้งสองมหาอำนาจต่างก็เป็นเพื่อนที่ดีกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทุกประเทศที่นี่ล้วนพึ่งพาทั้งสองมหาอำนาจไม่เรื่องการค้าก็เรื่องความมั่นคง...พวกเขามีบทบาทสำคัญให้เล่น”

CNA ระบุว่า ชัดเจนว่าสหรัฐฯ และจีนกดดันให้ทั้งไทยและกัมพูชาให้ลดความตึงเครียด

จา เอียน ฉง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์จากมหหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์เผยว่า “ผมว่าทรัมป์สามารถกระตุ้นผู้นำให้ลงมือปฏิบัติได้ การทูตโดยตรงของเขาดูเหมือนจะทำให้ไทยและกัมพูชาเจรจาและบรรลุข้อตกลง” และว่า ผู้นำสหรัฐฯ เชื่อมโยงการพูดคุยเรื่องภาษีศุลกากรกับการหยุดยิง

“อาเซียนกับมาเลเซียมีบทบาทชัดเจนในการอำนวยความสะดวกให้เกิดข้อตกลง แต่อาเซียนเองไม่สามารถเป็นตัวกลางในการประชุมก่อนหน้านี้หรือป้องกันไม่ให้เกิดข้อขัดแย้งได้” ฉงกล่าว “ถึงแม้จะมีการพูดคุยมากมายเกี่ยวกับ (ความสำคัญของการส่งออกของจีน) แต่ดูเหมือนว่ารัฐต่างๆ เหล่านี้ไม่สามารถอยู่ได้หากไม่มีตลาดสหรัฐฯ”

แบรดลีย์ เจนเซน เมิร์ก ที่ปรึกษาอาวุโสของ Cambodian Institute for Cooperation and Peace สถาบันคลังสมองในพนมเปญมองว่า ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทยกับกัมพูชาคือชัยชนะของสหรัฐฯ อย่างชัดเจน

เมิร์กเผยว่า ในระยะสั้น เกี่ยวกับการแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ คะแนนตกเป็นของสหรัฐฯ ซึ่งเป็น ‘ชัยชนะ’ ที่จำเป็นอย่างยิ่ง หลังจากอิทธิพลของสหรัฐฯ จางลงอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้”

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า จีนมักจะมีส่วนร่วมอยู่เบื้องหลัง และการส่งข้อความที่เน้นย้ำถึงความสำคัญและแนวทางแก้ไขในระดับภูมิภาค แทนที่จะวางตำแหน่งตัวเองเป็นผู้ไกล่เกลี่ยในที่สาธารณะเหมือนสหรัฐฯ

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว นักวิเคราะห์กล่าวว่า ในขณะที่สหรัฐฯ ใช้แนวทางให้รางวัลและลงโทษโดยใช้ภาษีศุลกากรเพื่อกดดันทางเศรษฐกิจต่อไทยและกัมพูชา ในทางตรงกันข้าม จีนกลับมีความยับยั้งชั่งใจและละเอียดอ่อนมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับแนวทางการแย่งชิงหัวข้อข่าวของทรัมป์

โสธิริด อาน นักวิจารณ์ชาวกัมพูชากล่าวว่า “การทูตของรัฐบาลทรัมป์นั้นเปิดเผยเกินไป และใช้เงื่อนไขการค้าที่เป็นประโยชน์หรือเป็นโทษเป็นข้อต่อรอง ขณะที่จีนไม่ทำตัวเด่น ชอบการมีส่วนร่วมในระดับทูตอย่างเงียบๆ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงการพัวพันโดยตรง” และเสริมว่า จีนเลือก “แนวทางรอดูสถานการณ์ที่ออกแบบมาเพื่อรักษาอิทธิพลโดยไม่ก่อให้เกิดต้นทุนทางการเมืองที่หนักหน่วง”

คารุปปานนันนักการทูตอาวุโสของมาเลเซียกล่าวว่า แม้ว่าจีนอาจไม่ได้เป็นผู้นำในการกำหนดข้อความหยุดยิง แต่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เจ้าหน้าที่ของมาเลเซียและอาเซียนสามารถอำนวยความสะดวกในการเจรจาได้

ผู้เชี่ยวชาญมองว่า สำหรับมหาอำนาจทั้งสองประเทศ ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาไม่ใช่เพียงเป็นการปะทะบริเวณชายแดนเท่านั้น แต่ยังถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในภูมิภาคที่เป็นศูนย์กลางของผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ของทั้งสหรัฐฯ และจีน

การสู้รบที่ยืดเยื้อและความไม่มั่นคงมีความเสี่ยงที่จะรบกวนเส้นทางการค้า ทำลายการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน และสร้างความเสียหายต่อทุนทางการเมืองที่สะสมมาหลายทศวรรษ

คารุปปานนันกล่าวว่า ผลประโยชน์ของจีนในการรักษาเสถียรภาพของภูมิภาคเป็นไปทั้งในด้าน “เศรษฐกิจและยุทธศาสตร์” และเสริมว่า ปักกิ่งได้ทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในโครงการโครงสร้างพื้นฐานและพลังงานผ่านโครงการ Belt and Road Initiative โดยกัมพูชาเป็นหนึ่งในพันธมิตรที่ภักดีที่สุดในภูมิภาค

“จีนพึ่งพาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่เพียงแต่ในด้านอุปทานเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการส่งออก การค้า และการลงทุนด้วย” คารุปปานนันกล่าว “การหยุดชะงักที่นี่จะนำมาซึ่ง...หายนะครั้งใหญ่ในแวดวงการค้าโลก ไม่ว่าพวกเขา (สหรัฐฯ กับจีน) จะชอบหรือไม่ พวกเขาต้องทำให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้สงบ”

อานกล่าวถึงการรักษาสมดุลอันละเอียดอ่อนของปักกิ่ง โดยระมัดระวังในการปกป้อง “ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอันกว้างขวางในประเทศไทยและความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์กับกัมพูชา การค้าทวิภาคีระหว่างจีนกับไทยมีขนาดใหญ่มาก ขณะที่การค้ากับกัมพูชาเติบโตถึงระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์”

ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเผยว่า การคำนวณความเสี่ยงของจีนชัดเจนมาก “จีนไม่ต้องการเห็นความขัดแย้งทางทหารและความไม่มั่นคงที่ตามมาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แผ่นดินใหญ่ ซึ่งจีนถือเป็นพื้นที่หลังบ้านของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องต้องกันว่า ความเต็มใจของทั้งสหรัฐฯ และจีนในการสนับสนุนกระบวนการทางการทูตสะท้อนให้เห็นถึงช่วงเวลาแห่งความสอดคล้องที่หาได้ยาก

คารุปปานนันกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า ตอนนี้การรักษาความสงบในภูมิภาคเป็นกุญแจสำคัญสำหรับ “ผลประโยชน์ส่วนตัวของทุกคน”

Photo by MOHD RASFAN / POOL / AFP

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์