สิงคโปร์และไทยลงนามข้อตกลงการค้าข้าวเมื่อวันศุกร์ (7 พ.ย.) เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารให้กับสิงคโปร์ พร้อมทั้งขยายโอกาสการส่งออกให้เกษตรกรไทย
บันทึกความร่วมมือฉบับนี้ได้ลงนามระหว่างการเยือนสิงคโปร์อย่างเป็นทางการครั้งแรกของ นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ของไทย นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยเป็นไปตามข้อตกลงลักษณะเดียวกันที่ไทยเซ็นกับเวียดนามเมื่อเดือนที่แล้ว
ภายใต้ข้อตกลงนี้ ไทยจะสนับสนุนการขายข้าวให้กับสิงคโปร์ภายใต้ ‘เงื่อนไขที่ตกลงร่วมกัน’ ตามคำขอของรัฐบาลสิงคโปร์ นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังมุ่งมั่นที่จะรักษาการค้าข้าวให้ ‘เปิดกว้าง โปร่งใส และเป็นประโยชน์ร่วมกัน’ ควบคู่ไปกับการหลีกเลี่ยง ‘มาตรการจำกัดที่ไม่จำเป็น’
ข้อตกลงดังกล่าวลงนามโดย เกรซ ฟู รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมของสิงคโปร์ และนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทย “ข้อตกลงนี้เป็นข้อตกลงที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ ซึ่งจะช่วยให้สิงคโปร์มีอุปทานข้าวที่มั่นคง พร้อมทั้งเปิดโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ ให้กับผู้ผลิตไทย” นายกฯ ลอว์เรนซ์ หว่อง ของสิงคโปร์ กล่าว
ปกติแล้ว สิงคโปร์นำเข้าอาหารมากกว่า 90% ของปริมาณอาหารทั้งหมดที่ใช้บริโภคในประเทศ โดยข้าวเป็นอาหารหลัก และไทยเองก็เป็นหนึ่งในผู้จัดหารายใหญ่
ทั้งสองประเทศยังได้ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานบริการสุขภาพสิงคโปร์ (SingHealth) และกรมบริการการแพทย์ของไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของผู้นำด้านการดูแลสุขภาพของไทยในการรองรับประชากรสูงอายุ
นอกจากนี้ สิงคโปร์และไทยยังมีความร่วมมือในข้อตกลงซื้อขายคาร์บอนเครดิตที่ลงนามเมื่อเดือนสิงหาคม และความร่วมมือเพื่อปราบปรามการหลอกลวงออนไลน์
อย่างไรก็ดี การเยือนสิงคโปร์ของนายกฯ อนุทิน มีขึ้นในในวาระครบรอบ 60 ปีของความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างทั้งสองประเทศ “ตลอด 60 ปีที่ผ่านมา เราได้สร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นบนพื้นฐานความไว้วางใจ ความเคารพ และมิตรภาพอันแน่นแฟ้น ความสัมพันธ์ของเราในวันนี้แน่นแฟ้นและยืดหยุ่น และความสัมพันธ์ทวิภาคีของเราก็อยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยม” นายกฯ หว่อง กล่าวระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับนายกฯ อนุทิน
“ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยมีการค้าและการลงทุนที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง สิงคโปร์เป็นนักลงทุนต่างชาติอันดับหนึ่งในไทยเมื่อปีที่ผ่านมา ทั้งสองประเทศยังมีความร่วมมือด้านกลาโหมที่ยาวนาน รวมถึงการแลกเปลี่ยนนักศึกษา เจ้าหน้าที่ และชุมชนอย่างสม่ำเสมอ”
— นายกฯ หว่อง กล่าวเสริม
ขณะที่ นายกฯ อนุทิน กล่าวว่า “ประเทศไทยจะประสานงานอย่างใกล้ชิดในประเด็นยุทธศาสตร์เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคและปลดล็อกศักยภาพของประชากรกว่า 600 ล้านคนในอาเซียน”
“นอกจากนี้ จะยังมีการสำรวจความร่วมมือเพื่อปรับปรุงการเชื่อมต่อในด้านต่างๆ เช่น ถนน ราง ทางทะเล รวมถึงด้านดิจิทัลและพลังงานภายในภูมิภาค และไทยพร้อมที่จะทำหน้าที่เป็น ‘ศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ระดับภูมิภาค’” นายกฯ อนุทิน กล่าว



