‘รอด’ หรือ ‘ไม่รอด’
วันนี้ (29 ส.ค.) วันชี้ชะตาของนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ว่าจะได้ดำรงตำแหน่งผู้นำไทยต่อไปหรือไม่ในข้อกล่าวหา ‘ละเมิดจริยธรรม’ จากกรณีคลิปเสียงสนทนาทางโทรศัพท์กับ ฮุน เซน
คำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนี้ถือเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของตระกูลชินวัตร และอาจก่อให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหม่ในราชอาณาจักรไทยที่การเมืองกำลังปั่นป่วน
สำนักข่าว South China Morning Post รายงานว่า “นี่เป็นอีกวันชี้ชะตาของตระกูลชินวัตร ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากในการเมืองไทยมานานกว่า 20 ปี แต่ต้องเผชิญกับการรัฐประหารและคำตัดสินของศาลที่ขับเคลื่อนโดยกลุ่มอนุรักษนิยม”
นายกฯ แพทองธาร ซึ่งขณะนี้ถูกพักงานในตำแหน่งนายกฯ ชั่วคราว ถูกตั้งคำถามว่า ‘ได้ละเมิดมาตรฐานจริยธรรมในการดำรงตำแหน่งหรือไม่’ จากกรณีคลิปเสียงคุยโทรศัพท์กับฮุน เซน อดีตผู้นำเผด็จการของกัมพูชา
คลิปเสียงดังกล่าวที่รั่วไหลออกมาท่ามกลางข้อพิพาทเรื่องพรมแดนระหว่างไทย-กัมพูชาที่แสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมระหว่างนายกฯ แพทองธาร และฮุน เซน จากคำเรียกแทนตัวฮุน เซน ซึ่งนายกฯ แพทองธารเรียกว่า ‘ลุง’ อีกทั้งยังพูดพาดพิงถึงแม่ทัพภาคที่ 2 ว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามตัวเอง ก่อให้เกิดความไม่พอใจในหมู่มวลชาวไทยที่มองว่า ‘นายกฯ แพทองธารทรยศต่อผลประโยชน์ของชาติ’
แม้นายกฯ แพทองธารจะยืนยันว่าตัวเองบริสุทธิ์และออกมาขอโทษต่อสาธารณชนสำหรับปมคลิปเสียงดังกล่าว โดยระบุว่าเป็นกลยุทธ์เจรจาเพื่อผลประโยชน์ของชาติ แต่ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ทั้งภายใน และนอกประเทศคลี่คลายลงแต่อย่างใด
หากศาลมีคำสั่ง ‘ปลด’ นายกฯ แพทองธารลงจากตำแหน่ง แพทองธารจะกลายเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนที่ 2 ที่ถูกตัดสินให้พ้นตำแหน่งโดยผู้พิพากษาชุดเดียวกันภายในเวลาเพียง 2 ปีกว่า และเป็นหัวหน้าพรรคคนที่่ 4 นับตั้งแต่ปี 2008
โดยครั้งล่าสุด คือ อดีตนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ที่ตกเป็นจำเลยในข้อหาเดียวกันนี้เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว จากการแต่งตั้ง พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเคยต้องคำพิพากษาจำคุก 6 เดือนฐานละเมิดอำนาจศาล
“คำตัดสินของศาลครั้งนี้ถือเป็นการท้าทายทางกฎหมายครั้งล่าสุดที่ตระกูลชินวัตรต้องเผชิญ แต่เนื่องจากนายกรัฐมนตรีคนดังกล่าวเป็นบุตรสาวของทักษิณ คำตัดสินที่จะมาถึงนี้จึงย่อมเพิ่มความเสี่ยงให้กับตระกูลชินวัตรอย่างแน่นอน และถ้าศาลตัดสินว่ามีความผิด อาจทำให้เธอ (แพทองธาร) ต้องรับโทษเพิ่มเติมนอกเหนือจากการถูกปลดออกจากตำแหน่ง”
— เคน โลหเตปานนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมือง และนักศึกษาปริญญาเอกสาขารัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน กล่าวกับรายการ This Week in Asia
ศาลรัฐธรรมนูญซึ่งมีบทบาทสำคัญในสถานการณ์ทางการเมืองของไทยตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา แต่ถึงกระนั้น การกระทำของศาลรัฐธรรมนูญกลับถูกมองว่าเป็นการปกป้องผลประโยชน์และอำนาจของชนชั้นนำอนุรักษนิยม
“ศาลรัฐธรรมนูญมีไว้เพื่อเป็นเครื่องมือตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ แต่กลับได้รับอำนาจมากเกินไปในการสร้าง หรือทำลายนักการเมือง” รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว รองคณบดีคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวกับ Bloomberg
จะเกิดอะไรขึ้นต่อไประหว่าง ‘เลือกตั้งฉับพลัน’ VS ‘แต่งตั้งผู้นำคนใหม่จากพรรคเพื่อไทย?

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า “พรรคเพื่อไทยดูเหมือนจะติดอยู่ในวังวนแห่งความหายนะ ซึ่งกลุ่มอนุรักษนิยมที่เป็นพันธมิตรชั่วคราวอาจใช้โอกาสนี้กดดันและควบคุมผู้นำและนโยบายของพรรคได้ ในขณะที่ประชาชนเริ่มละทิ้งพรรคที่เคยครองความนิยมในอดีตไปแล้ว”
เมื่อครั้งในอดีต ภายใต้การนำของทักษิณ พรรคนี้ได้รับคะแนนเสียงมากที่สุดในการเลือกตั้งทุกครั้งของไทยระหว่างปี 2001-2023 แต่ความนิยมของพรรคเริ่มลดลงอย่างชัดเจนในเดือนพฤษภาคม 2023 เมื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนมากที่เบื่อกับความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลตระกูลชินวัตรและกลุ่มคู่แข่งที่สนับสนุนฝ่ายทหาร ได้หันไปสนับสนุนพรรคก้าวไกลในเวลานั้น (ปัจจุบันคือพรรคประชาชน) ซึ่งเป็นพรรคที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยจากฝ่ายทหารคืนให้ประชาชน
พรรคก้าวไกลได้สร้างความตกตะลึงให้กับฝ่ายอนุรักษนิยม เพราะชนะจำนวนเสียงและเก้าอี้ในรัฐสภามากที่สุดจากการเลือกตั้งปี 2023 ส่วนพรรคเพื่อไทยซึ่งขณะนั้นได้คะแนนเสียงเป็นอันดับ 2 จึงแก้เกมด้วยการไปจับมือเพื่อจะร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะท้ายที่สุดแล้วกลับกลายเป็นว่า พรรคก้าวไกลถูกสมาชิกวุฒิสภาฝ่ายอนุรักษนิยมขัดขวางไม่ให้จัดตั้งรัฐบาลได้ พรรคเพื่อไทยจึงใช้โอกาสนี้ตั้งรัฐบาลผสมขึ้นมานำโดย อดีตนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ซึ่งถูกมองว่าเป็นหุ่นเชิดของทักษิณ
จนถึงตอนนี้ รัฐบาลผสมชุดนี้มาถึงจุดแตกหัก เมื่อพรรคภูมิใจไทยนำโดย อนุทิน ชาญวีรกูล ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งรองนายกฯ จากปมคลิปเสียงของนายกฯ แพทองธาร และคาดว่าเป็นความขัดแย้งภายในที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ด้วย โดยเฉพาะเรื่องนโยบายการทำให้กาสิโนให้ถูกกฎหมาย และกัญชาเสรี ซึ่งอนุทินขู่ว่าจะถอนตัวจากรัฐบาลหากแพทองธารถอดนโยบายกัญชาเสรีออก
ท่ามกลางสถานะทางเศรษฐกิจไทยที่กำลังชะลอตัวลง โดยมีการคาดการณ์ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจจะลดลงเหลือ 2.3% ในปีนี้ ซึ่งได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาในภาคการท่องเที่ยว แน่นอนว่าสถานการณ์เช่นนี้ทำให้พรรคเพื่อไทยสูญเสียความน่าเชื่อถือในสายตาประชาชนในฐานะผู้นำการเติบโตทางเศรษฐกิจ
หรือจะเกิดการเลือกตั้งฉับพลัน...?
ไม่ต้องเดาเลยว่า พรรคเพื่อไทยมีแนวโน้มที่จะพ่ายแพ้อีกครั้ง และอาจจะแพ้ยับเยินด้วย ซึ่งในตอนนี้ พรรคเพื่อไทยเหลือเพียงไพ่ใบเดียวที่ต้องเล่นเกมนี้ต่อ นั่นก็คือ ชัยเกษม นิติสิริ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ผู้ภักดีต่อทักษิณ
“ด้วยอำนาจต่อรองที่ลดลง และพรรคเพื่อไทยเองก็ยังไม่พร้อมสำหรับการเลือกตั้ง มันจึงขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของพันธมิตรในรัฐบาลผสม ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาอาจเรียกร้องให้มีนายกรัฐมนตรีที่ไม่ใช่ของพรรคเพื่อไทยเข้ามาดำรงตำแหน่ง”
— เคน โลหเตปานนท์ กล่าว
หนึ่งในพันธมิตรดังกล่าวก็คือ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่เพิ่งลาออกจากรัฐบาลผสมปมคลิปเสียงแพทองธาร และแน่นอนว่าแคนดิเดตคนสำคัญจากกลุ่มอนุรักษนิยมหัวที่มีสิทธิ์ลงสมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกคนก็คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตพลเอกผู้ทำการรัฐประหารรัฐบาลอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อปี 2014
แต่ดูเหมือนว่าผลงานด้านเศษฐกิจในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ตลอดช่วงเกือบ 9 ปีจะไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าใดนัก เนื่องจากเศรษฐกิจไทยค่อนข้างชะลอตัว อีกทั้งเสรีภาพทางการแสดงออกและสิทธิมนุษยชนก็ถดถอยจนเกิดการประท้วงครั้งใหญ่ กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการสนับสนุนพรรคก้าวไกลอย่างกว้างขวาง
ปัจจุบัน พลเอกประยุทธ์ในฐานะที่ปรึกษาองคมนตรีของพระมหากษัตริย์ไทย จะต้องได้รับอนุมัติเป็นพิเศษจากพระมหากษัตริย์หากจะกลับเข้าสู่การเมืองเต็มตัวอีกครั้ง แต่เนื่องจากข้อพิพาทชายแดนกับกัมพูชายิ่งทวีความรุนแรงขึ้นและกระตุ้นให้เกิดการยกย่องกองทัพไทยอีกครั้ง นักวิเคราะห์จึงไม่ตัดความเป็นไปได้ที่พลเอกประยุทธ์จะกลับมา
(Photo by Chanakarn Laosarakham / AFP)