ผลจากการกระทำของมนุษย์กำลังกลับมาส่งผลกระทบกับมนุษย์เอง ล่าสุด ป่าวอลนัทธรรมชาติใหญ่ที่สุดในโลกที่หมู่บ้านอาร์สลันบอบ ประเทศคีร์กีซสถาน กำลังเผชิญวิกฤตการเสื่อมโทรมอย่างรุนแรง จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเลี้ยงปศุสัตว์เกินขีดจำกัด และการตัดไม้ผิดกฎหมาย ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่พึ่งพิงวอลนัทเป็นแหล่งรายได้หลักมาเป็นเวลานานหลายชั่วอายุคน
ป่าเคยหนาแน่นมาก แต่ตอนนี้บางลงแล้ว เห็นความแตกต่างได้ชัดเจน
— อาเซล อาลิเชวา นักเก็บเกี่ยววอลนัทวัย 70 ปี กล่าวขณะทุบวอลนัทในเต็นท์ริมทาง

อาเซล อาลิเชวา นักเก็บเกี่ยววอลนัทวัย 70 ปี เผยว่าป่าแห่งนี้เคยหนาแน่นจนแทบเดินทะลุไม่ได้ แต่ปัจจุบันเบาบางลงมาก ทำให้ผลผลิตลดลง รายได้ก็ลดลง
ปัญหาผลผลิตที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
ที่ตลาดในหมู่บ้าน ผู้ค้าต้องเผชิญกับปัญหาผลผลิตที่ลดลงอย่างมาก จาซกุล โอมูร์ซาโควา ผู้ค้าวอลนัทวัย 47 ปี เล่าว่า ในยุค 2000 เราเคยรับวอลนัทได้วันละ 15 ตัน ปัจจุบันได้เพียง 3-4 ตัน และลดลงทุกปี
สาเหตุหลักมาจากสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้งมากขึ้น ส่งผลให้วอลนัทเปลี่ยนสีแดงภายใน ในขณะที่เมล็ดสีขาวจะมีราคาสูงกว่า เพราะผู้ผลิตขนมต้องการความสวยงามของผลิตภัณฑ์

ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ตามข้อมูลขององค์การอุตุนิยมวิทยาโลก อุณหภูมิเฉลี่ยในเอเชียกลางเพิ่มขึ้น 1.5 องศาเซลเซียสตั้งแต่ปี 1991 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกถึง 2 เท่า ภัยแล้งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งยิ่งทำลายป่าวอลนัทมากขึ้น
เทมีร์ เอมีรอฟ ผู้ดูแลเรือนเพาะชำต้นไม้ เผยว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาไม่มีฝนตก อากาศร้อนมาก ดินแห้งแล้ง หญ้าเหี่ยวแห้ง กล้าไม้ไม่ได้รับน้ำมาเป็นเดือน ต้องอาศัยความชื้นในตัวเองเพื่อความอยู่รอดง

ปัจจัยสำคัญเพราะมนุษย์ทำลายป่า
นอกจากปัจจัยธรรมชาติแล้ว กิจกรรมของมนุษย์ยังเป็นปัญหาใหญ่ อิบรากิม เตอร์กุนเบคอฟ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ระบุว่าการเลี้ยงปศุสัตว์เป็นปัญหาใหญ่ เนื่องจากไม่มีทุ่งเลี้ยงสัตว์เพียงพอ ฝูงวัวจำนวนมากเหยียบย่ำดินและกินยอดอ่อน ประกอบกับยังมีการตัดไม้ผิดกฎหมาย เพราะชาวบ้านนิยมใช้ไม้เป็นเชื้อเพลิงมากกว่าถ่านหินที่แพงกว่า เจ้าหน้าที่จึงต้องออกใบสั่งปรับและพยายามโน้มน้าวเกษตรกรให้ลดจำนวนปศุสัตว์

แนวทางแก้ไขและอนาคตของป่า
เตอร์กุนเบคอฟ เสนอแนะว่าการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของวอลนัทอาจเป็นทางออก หากเราผลิตน้ำหอมหรือน้ำมันจากวอลนัทส่งไปยุโรป มูลค่าจะเพิ่มขึ้น เมื่อขายราคาสูงขึ้น ชาวบ้านจะมีแรงจูงใจและดูแลป่าดีขึ้น
อับดุลอาซิซ คาลมูราดอฟ เยาวชนวัย 16 ปี เป็นตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเปลี่ยนแปลง เขาผลิตน้ำมันวอลนัทด้วยเครื่องอัดแบบดั้งเดิมหลังเลิกเรียน "ผมต้องการเพิ่มจำนวนเครื่องจักรและผลิตน้ำมันชนิดอื่นๆ เช่น น้ำมันแอปริคอต" เขายังมีความตั้งใจส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในพื้นที่ "เมื่อผมโตขึ้น ผมมีแผนใหญ่"


