ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) อีกครั้งในรอบ 7 ปีเมื่อวันอังคาร (23 ก.ย.) ซึ่งในครั้งนี้ ทรัมป์กล่าวสุนทรพจน์นานถึงเกือบ 1 ชั่วโมง และนี่คือประเด็นสำคัญที่ทรัมป์กล่าวบนเวที UNGA...
1.) “นโยบายย้ายถิ่นฐานจะทำให้ประเทศของคุณ ‘ล้มเหลว’”
— ทรัมป์ กล่าว
ทรัมป์ใช้เวลาส่วนใหญ่ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่เพื่อวิพากษ์วิจารณ์นโยบายการย้ายถิ่นฐานของประเทศอื่นๆ โดยกล่าวหาสหประชาชาติว่า “ให้ทุนสนับสนุนการโจมตีประเทศตะวันตก เนื่องจากการควบคุมการย้ายถิ่นฐานที่ไม่เพียงพอ” และเตือนว่า “โครงสร้างของตะวันตกกำลังถูกทำลาย”
“หากคุณไม่หยุดยั้งผู้คนที่คุณไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ไม่มีอะไรเหมือนกันเลยกับพวกเขา ประเทศของคุณก็จะล้มเหลว เมื่อเราเริ่มกักขังและส่งตัวผู้ที่ข้ามพรมแดนกลับประเทศ และนำผู้อพยพผิดกฎหมายออกจากสหรัฐฯ พวกเขาก็จะหยุดเดินทางมา” ทรัมป์ กล่าว พร้อมเสริมว่า ผู้นำคนอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป ควรดำเนินรอยตามเขา
“คุณทำเพราะคุณอยากเป็นคนดี คุณอยากถูกมองว่าเป็นคนที่ถูกต้องทางการเมือง และคุณกำลังทำลายมรดกของคุณ” ทรัมป์ กล่าว
2.) “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็น ‘การหลอกลวงครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับโลก’”
— ทรัมป์ กล่าว
ทรัมป์เยาะเย้ยคำทำนายในอดีตที่เตือนถึงภัยพิบัติระดับโลกจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และกระตุ้นให้ประเทศอื่นๆ ยกเลิกโครงการพลังงานสีเขียวที่ ‘มุ่งลดการปล่อยคาร์บอน’
นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศส่วนใหญ่สรุปว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังเกิดขึ้น และส่วนใหญ่เกิดจากมลพิษจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ขณะนี้โลกกำลังเผชิญกับผลกระทบแล้ว น้ำท่วมรุนแรงและคร่าชีวิตผู้คนมากขึ้น ภัยแล้งแพร่กระจายและรุนแรง แถมคลื่นความร้อนก็อันตรายยิ่งขึ้น”
ทรัมป์ กล่าวว่า “คำทำนายทั้งหมดนี้ที่สหประชาชาติและหน่วยงานอื่นๆ คาดการณ์ไว้นั้น มักเกิดจากเหตุผลที่ไม่ดีและผิดพลาด มันเกิดจากคนโง่”
“นโยบายพลังงานสีเขียวช่วยให้ประเทศที่ไม่มีข้อจำกัดดังกล่าว โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา สามารถสร้างรายได้ ในขณะที่สหรัฐฯ ยังตามหลังอยู่...ผลกระทบหลักของนโยบายพลังงานสีเขียวที่โหดร้ายเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อช่วยสิ่งแวดล้อม แต่กลับเป็นการกระจายกิจกรรมการผลิตและอุตสาหกรรมจากประเทศพัฒนาแล้วที่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อันไร้เหตุผล ไปยังประเทศที่ก่อมลพิษซึ่งฝ่าฝืนกฎและกำลังทำกำไรมหาศาล” ทรัมป์ กล่าว
3.) ทรัมป์อ้างว่าเขา ‘ยุติสงคราม 7 ครั้ง’ ขณะที่สหประชาชาติเอาแต่พูด
“สหประชาชาติมีศักยภาพมหาศาลจริงๆ ผมพูดมาตลอด สิ่งที่พวกเขาทำดูเหมือนจะแค่เขียนจดหมายที่ใช้ถ้อยคำรุนแรงมากๆ แล้วก็ไม่เคยติดตามจดหมายนั้น มันเป็นแค่คำพูดลอยๆ และคำพูดเหล่านั้นก็ไม่สามารถแก้ไขสงครามได้ สิ่งเดียวที่แก้ปัญหาสงครามได้คือ ‘การลงมือทำ’” ทรัมป์ กล่าว
ขณะที่ตัวทรัมป์เองบอกว่า “ยุติสงครามมาแล้ว 7 ครั้ง”
4.) “การรับรองรัฐปาเลสไตน์ จะเป็นการให้รางวัลฮามาส...”
— ทรัมป์ กล่าว
ประธานาธิบดีทรัมป์ วิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงต่อกลุ่มประเทศยุโรปที่เพิ่ง ‘รับรองรัฐปาเลสไตน์’ โดยเตือนว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นการให้รางวัลฮามาสและกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งในฉนวนกาซาอย่างต่อเนื่อง
ทรัมป์ กล่าวว่า “อย่างที่ทุกคนทราบ ผมเองก็มีส่วนร่วมอย่างมากในการแสวงหาการหยุดยิงในฉนวนกาซา เราต้องทำให้ได้ มันต้องสำเร็จ”
“น่าเสียดายที่ฮามาสปฏิเสธข้อเสนอที่สมเหตุสมผลในการสร้างสันติภาพซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราไม่อาจลืมวันที่ 7 ตุลาคมได้ใช่ไหม ตอนนี้ มันราวกับว่าเป็นการส่งเสริมให้เกิดความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง บางส่วนของกลุ่มนี้กำลังพยายามรับรองรัฐปาเลสไตน์ฝ่ายเดียว...นี่จะเป็นการตอบแทนสำหรับความโหดร้ายเหล่านี้ รวมถึงเหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคมด้วย” ทรัมป์ กล่าว
คำกล่าวของทรัมป์มีขึ้นหนึ่งวันหลังจากที่ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครงของฝรั่งเศสประกาศว่าประเทศของเขาจะรับรองรัฐปาเลสไตน์ โดยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมที่สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ร่วมกับซาอุดีอาระเบีย เกี่ยวกับแนวทางแก้ปัญหาแบบสองรัฐ
5.) ทรัมป์เรียกร้องประเทศในยุโรป ‘ต่อต้านรัสเซีย’
ทรัมป์ กล่าวว่า หากรัสเซียไม่ยุติการรุกรานยูเครน เขาก็พร้อมที่จะ ‘กำหนดมาตรการภาษีศุลกากรที่เข้มงวด’ จากนั้นเขาก็จะเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ในยุโรป ‘เพิ่มมาตรการ’ และหยุดนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย
ทรัมป์ได้แสดงจุดยืนผ่านโซเชียลมีเดียไม่นานหลังจากพบปะกับประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ระหว่างการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ
“ผมคิดว่ายูเครนซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหภาพยุโรป อยู่ในสถานะที่สามารถต่อสู้และชนะ จนยึดดินแดนกลับคืนมาได้ ด้วยเวลา ความอดทน และการสนับสนุนทางการเงินจากยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก NATO เส้นเขตแดนเดิมที่สงครามนี้เริ่มต้นขึ้น ถือเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้อย่างมาก” ทรัมป์ โพสต์บน Truth Social
เซเลนสกีได้ผลักดันให้ทรัมป์แสดงการสนับสนุนความพยายามทำสงครามของยูเครนมากขึ้น รวมถึงการกำหนดมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียที่เข้มงวดครั้งใหม่ อย่างไรก็ดี ชาวยูเครนจำนวนมากรู้สึกตกใจเมื่อทรัมป์ให้การต้อนรับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซียอย่างอบอุ่นในการประชุมสุดยอดที่รัฐอะแลสก้า เมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และเชื่อว่ารัสเซียจะไม่หยุดยั้งสงคราม เว้นแต่จะเผชิญกับแรงกดดันจากภายนอกอย่างหนักหน่วง
(Photo by TIMOTHY A. CLARY / AFP)