ในขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามเจรจายุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน เพื่อการันตีถึงศักยภาพของเขาถึงความเหมาะสมที่จะได้รับรางวัลโนเบลสาขา ‘สันติภาพ’ ซึ่งตัวทรัมป์เองก็ได้เน้นย้ำถึงผลงานในการเจรจาสันติภาพนับตั้งแต่เริ่มดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2
“ผมได้ยุติสงครามไปแล้ว 7 ครั้ง...ทั้งหมดนี้ผมทำโดยไม่ต้องใช้คำว่า ‘หยุดยิง’ ด้วยซ้ำ”
— ทรัมป์ กล่าว
ฝ่ายบริหารของทรัมป์กล่าวว่า “รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเป็นสิ่งที่ควรมอบให้กับเขา (ทรัมป์)ในฐานะ ‘ผู้นำสันติภาพ’” พร้อมกับระบุรายชื่อสงครามที่ทรัมป์อ้างว่าตัวเองเข้าไปมีบทบาทในการ ‘ยุติสงคราม’ แม้ว่าสงครามบางแห่งจะจะกินเวลาเพียงไม่กี่วัน และเป็นผลมาจากความตึงเครียดที่ยาวนาน แต่ก็ยังไม่แน่ชัดว่าสันติภาพเหล่านี้จะยั่งยืนหรือไม่
และนี่คือ 7 สงครามที่ทรัมป์ ‘อ้าง’ ว่าตัวเองมีบทบาทเข้าไปช่วยยุติ...
1.) อิสราเอล-อิหร่าน

สงคราม 12 วันระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2025 เมื่ออิสราเอลเปิดฉากโจมตีเป้าหมายทางอากาศ โดยให้เหตุผลว่า เพื่อ ‘หยุดยั้ง’ โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน
ในคืนเดียวกัน อิหร่านก็ตอบโต้ด้วยการยิงขีปนาวุธและโดรนถล่มเป้าหมายในอิสราเอล สร้างความเสียหายแก่สถานที่ทหารและบ้านเรือนของประชาชนหลายแห่ง ซึ่งเป็นการยกระดับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
กระทั่งวันที่ 22 มิถุนายน 2025 สหรัฐฯ ก็เข้าร่วมสงครามโดยการโจมตีทางอากาศที่โรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน 3 แห่งด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหนและจรวดโทมาฮอว์ก ทำให้โรงงานเหล่านี้เสียหายอย่างหนัก นับเป็นการเคลื่อนไหวที่หลายคนมองว่านำไปสู่การยุติความขัดแย้งลงอย่างรวดเร็ว
จากนั้นในวันที่ 23 มิถุนายน ทรัมป์ก็โพสต์ว่า “อิหร่านจะเริ่มการหยุดยิง และในชั่วโมงที่ 12 อิสราเอลจะเริ่มการหยุดยิง เมื่อครบ 24 ชั่วโมง สงครามจะสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ”
แต่หลังจากสงครามยุติลง อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ก็ยืนยันว่าประเทศของเขาได้รับ ‘ชัยชนะ’ โดยไม่ได้กล่าวถึงการหยุดยิง
“ยังไม่มีข้อตกลงเกี่ยวกับสันติภาพถาวร หรือวิธีการติดตามโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านในอนาคต ดังนั้น สิ่งที่เรามีจึงเป็นเพียง ‘การหยุดยิงโดยพฤตินัย’ มากกว่าการยุติสงคราม แต่ผมขอชื่นชมเขา (ทรัมป์) เพราะการที่อิสราเอลทำให้อิหร่านอ่อนแอลง โดยได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ถือเป็นเรื่องสำคัญเชิงยุทธศาสตร์”
— ไมเคิล โอแฮนลอน นักวิจัยอาวุโสประจำสถาบันวิจัย Brookings โต้แย้ง
2.) ปากีสถาน-อินเดีย

ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศเอเชียใต้ที่มีอาวุธนิวเคลียร์นี้เกิดขึ้นมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ความขัดแย้งได้ปะทุขึ้นหลังจากเกิดการปะทะกันในแคชเมียร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อินเดียปกครองอยู่
แต่หลังจากโจมตีกันได้ 4 วัน ทรัมป์ก็โพสต์ใน Truth Social ว่า “อินเดียและปากีสถานได้ตกลงที่จะ ‘หยุดยิงเต็มรูปแบบและทันที’...นี่เป็นผลจาก ‘การเจรจาที่ยาวนานตลอดทั้งคืน’ โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นตัวกลาง”
ด้านปากีสถานขอบคุณทรัมป์และต่อมาได้เสนอชื่อ ‘ทรัมป์’ ให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ โดยอ้างถึง ‘การแทรกแซงทางการทูตอย่างเด็ดขาด’ ของเขา
แต่อินเดียกลับลดความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ ลงโดยกล่าวว่า “การเจรจาหยุดยิงเป็นการดำเนินการโดยตรงระหว่างอินเดียและปากีสถานผ่านช่องทางที่กองทัพทั้งสองประเทศตั้งขึ้นมาแล้ว” วิกรม มิศรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย กล่าว
3.) รวันดา-สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก

ความขัดแย้งอันยาวนานระหว่างรวันดา และคองโกปะทุขึ้นหลังจากกลุ่มกบฏ ‘M23’ เข้ายึดครองดินแดนที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุในคองโกตะวันออกเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา
แต่สุดท้าย ในเดือนมิถุนายน ทั้งสองประเทศก็ได้ลงนามข้อตกลง ‘สันติภาพ’ ในกรุงวอชิงตัน ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อยุติความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมานานหลายทศวรรษ ซึ่งทรัมป์กล่าวว่าข้อตกลงนี้จะช่วยเพิ่มการค้าระหว่างทั้งสองประเทศและสหรัฐฯ
ถึงกระนั้น นับตั้งแต่ข้อตกลงล่าสุด ทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวหาซึ่งกันและกันว่า ‘ละเมิดการหยุดยิง’ ขณะที่กลุ่มกบฏ M23 ซึ่งสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรระบุว่าเกี่ยวข้องกับรวันดา ได้ขู่ว่าจะถอนตัวจากการเจรจาสันติภาพ
ตามรายงานขององค์กร Human Rights Watch ระบุว่า เมื่อเดือนกรกฎาคม กลุ่มกบฏนี้ได้สังหารผู้คนอย่างน้อย 140 ราย รวมถึงผู้หญิงและเด็กในคองโกตะวันออก
“ยังคงมีการสู้รบระหว่างคองโกและรวันดาอยู่ ดังนั้นการหยุดยิงจึงไม่เคยได้ผลจริง” มาร์กาเร็ต แมคมิลแลน ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด กล่าว
4.) ไทย-กัมพูชา

ไทย และกัมพูชามีข้อพิพาทชายแดนกันอย่างยาวนานแล้วโดยเฉพาะ 4 พื้นที่นี้ ได้แก่ ช่องบก ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย และปราสาทตาเหมือนโต๊ด แต่เหตุการณ์ชายแดนทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง หลังเกิดเหตุปะทะกันระหว่างสองประเทศเมื่อวันที่ 28 พ.ค.2025 เป็นเหตุให้มีทหารกัมพูชาเสียชีวิต จนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศตกต่ำที่สุดในรอบหลายปี
ในวันที่ 16 ก.ค.เกิดเหตุระเบิดของทุ่นระเบิดในพื้นที่พิพาท ทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 3 นาย โดยหนึ่งในนั้นเหยียบทุ่นระเบิดจนขาขาดไป 1 ข้าง ต่อมาในวันที่ 23 ก.ค.ไทยประกาศลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา รวมถึงเรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชากลับไทย และส่งเอกอัครราชทูตกัมพูชากลับประเทศ หลังเกิดเหตุระเบิดของทุ่นระเบิดเป็นครั้งที่ 2
เช้าวันที่ 24 ก.ค.ทั้งสองประเทศก็ปะทะกันอีกครั้ง จนกระทั่งวันที่ 26 ก.ค.ทรัมป์ก็โพสต์ข้อความบน Truth Social ว่า “ผมขอเรียกร้องให้รักษาการนายกรัฐมนตรีของไทยในขณะนี้ยุติสงครามที่กำลังดำเนินอยู่” พร้อมขู่ว่าหากทั้งไทย และกัมพูชาไม่หยุดยิง เขาจะไม่เจรจาภาษีด้วย
กระทั่งวันที่ 28 ก.ค.ทั้งสองประเทศก็ตกลงที่จะ ‘หยุดยิงทันทีและไม่มีเงื่อนไข’ โดยมีมาเลเซียเป็นเจ้าภาพจัดเจรจาสันติภาพ หลังจากการสู้รบบริเวณชายแดนเป็นเวลา 5 วัน จากนั้นในวันที่ 7 สิงหาคม ไทยและกัมพูชาก็ได้บรรลุข้อตกลง ‘GBC’ เพื่อลดความตึงเครียดตามแนวชายแดนร่วมกัน
5.) อาร์เมเนีย-อาเซอร์ไบจาน

ผู้นำทั้งสองประเทศนี้ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ทรัมป์ควรได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพจากความพยายามของเขาในการบรรลุข้อตกลงสันติภาพ”
“ผมคิดว่าเขาสมควรได้รับเครดิตที่ดีในเรื่องนี้ พิธีลงนามที่ห้องทำงานรูปไข่อาจผลักดันให้ทั้งสองฝ่ายเข้าสู่สันติภาพ” ไมเคิล โอแฮนลอน นักวิเคราะห์จากสถาบันวิจัย Brookings กล่าว
ในเดือนมีนาคม รัฐบาลทั้งสองประเทศกล่าวว่าพร้อมที่จะยุติความขัดแย้งที่ดำเนินมาเกือบ 40 ปี ซึ่งศูนย์กลางความขัดแย้งอยู่ที่ภูมิภาคนากอร์โน-คาราบัค
การสู้รบที่ปะทุขึ้นอย่างรุนแรงครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 2023 เมื่ออาเซอร์ไบจานเข้ายึดครองดินแดนที่แยกตัวออกมา ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของชาวอาร์เมเนียจำนวนมาก
6.) อียิปต์-เอธิโอเปีย

ไม่มี ‘สงคราม’ ใดๆ เกิดขึ้นที่นี่! แต่ความตึงเครียดเกี่ยวกับเขื่อนกั้นแม่น้ำไนล์นั้นมีมานานแล้ว
ความขัดแย้งยืดเยื้อมานานกว่า 12 ปี ซึ่งปัญหาก็คือ อียิปต์กังวลว่าปริมาณน้ำที่ได้รับจากแม่น้ำไนล์จะได้รับผลกระทบ เนื่องจากเขื่อนแกรนด์เอธิโอเปียนเรเนซองส์ของเอธิโอเปียถูกสร้างเสร็จแล้วในฤดูร้อนนี้ และเอธิโอเปียก็ยืนยันถึงความจำเป็นในการพัฒนาและการใช้เขื่อนนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนในประเทศด้วยเช่นกัน
ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอียิปต์ก็กล่าวเมื่อวันที่ 29 มิถุนายนว่า “การเจรจากับเอธิโอเปียได้หยุดชะงักลง”
ด้านทรัมป์กล่าวว่า “ถ้าผมเป็นอียิปต์ ผมก็อยากได้น้ำในแม่น้ำไนล์” พร้อมสัญญาว่า “สหรัฐฯ จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้โดยเร็วที่สุด” และทางอียิปต์เองก็ยินดีกับคำพูดของทรัมป์ แต่เจ้าหน้าที่เอธิโอเปียกล่าวว่า “คำพูดเหล่านี้อาจทำให้ความตึงเครียดรุนแรงขึ้น”
อย่างไรก็ดี ทั้งสองประเทศยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงอย่างเป็นทางการในการแก้ปัญหาความขัดแย้งนี้ได้
7.) เซอร์เบีย-โคโซโว

เมื่อวันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา ทรัมป์อ้างว่า ตัวเขาเองได้ขัดขวางไม่ให้เกิดการสู้รบระหว่างเซอร์เบียและโคโซโว ซึ่งสงครามครั้งนี้จะเป็นสงครามใหญ่ “ผมบอกว่าถ้าจะสู้กัน ก็จะไม่มีการค้ากับสหรัฐฯ แล้วพวกเขาก็ตอบว่า บางทีเราอาจจะไม่สู้กันก็ได้”
ความขัดแย้งระหว่างสองประเทศนี้มีมาอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นมรดกตกทอดจากสงครามบอลข่านในช่วงทศวรรษ 1990 และความตึงเครียดก็เพิ่มสูงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
“เซอร์เบียและโคโซโวยังไม่ได้สู้รบ หรือต่อสู้กันจริงจัง ดังนั้นมันจึงไม่ใช่สงครามที่ต้องยุติ”
— ศาสตราจารย์มาร์กาเร็ต แมคมิลแลน กล่าว
ทำเนียบขาวชี้ให้เราเห็นถึงความพยายามทางการทูตของทรัมป์ในวาระแรกของเขา ซึ่งทั้งสองประเทศได้ลงนามข้อตกลงฟื้นฟูเศรษฐกิจกับประธานาธิบดีในปี 2020 ณ ห้องทำงานรูปไข่ แต่ในขณะนั้นทั้งสองประเทศไม่ได้ทำสงครามกัน
(Photo by ANDREW CABALLERO-REYNOLDS / AFP)