นิตยสาร TIME ชี้สถานการณ์ไทย-กัมพูชามีเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่าเรื่องดินแดน

28 ก.ค. 2568 - 04:25

  • ชาร์ลี แคมป์เบลล์ บรรณาธิการอาวุโสของ TIME ระบุว่า มีปัจจัยไม่กี่อย่างที่จูงใจอย่างชัดเจนให้ ฮุน เซน ทำให้เหตุทะเลาะครั้งนี้ยืดเยื้อ

  • คำสั่งให้แพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่ทำให้เกิดสุญญากาศทางอำนาจในประเทศไทย

  • ฮุน เซน อาจใช้โอกาสนี้เปิดทางให้ ฮุน มาเนต บุตรชายได้แสดงความเป็นผู้นำ

นิตยสาร TIME ชี้สถานการณ์ไทย-กัมพูชามีเบื้องลึกเบื้องหลังมากกว่าเรื่องดินแดน

บทความของ ชาร์ลี แคมป์เบลล์ บรรณาธิการอาวุโสนิตยสาร TIME ระบุว่า เหตุทะเลาะเบาะแว้งเรื่องดินแดนที่เกิดขึ้นทั่วโลก เห็นได้ชัดว่ามีเหตุจำนวนมากที่เป็นการเบี่ยงเบนด้วยกระแสคลั่งชาติ (jingoistic distraction) แม้เหตุเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ แต่การปะทะที่ยืดเยื้อมักเกิดขึ้นจากจุดประสงค์ที่ชัดเจน

บทความเล่าถึงการปะทะที่เกิดขึ้นใกล้ปราสาทตาเมือนธมเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2025 ทำให้พลเรือนในไทยเสียชีวิต 1 คน ทหารเสียชีวิต 1 นาย เป็นเหตุให้มีการตอบโต้กันทั้งทางการทหารและทางการทูตจนถึงขณะนี้

แคมป์เบลล์ระบุว่า ปัญหาบริเวณชายแดนที่ทั้งสองประเทศมีพรมแดนติดกันยาว 817 กิโลเมตรไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนงุนงงกับการปะทะล่าสุดคือ การที่สองตระกูลทรงอิทธิพลทางการเมืองของสองประเทศกลับกลายมาเป็นปรปักษ์กัน ทั้งที่เคยสนิทสนมกันมาก่อน

แคมป์เบลล์ชี้ว่า มีปัจจัยไม่กี่อย่างที่จูงใจอย่างชัดเจนให้ ฮุน เซน ทำให้เหตุทะเลาะครั้งนี้ยืดเยื้อ หนึ่งในนั้นคือ สภาพเศรษฐกิจกัมพูชาขณะนี้ไม่ดีนัก และ ฮุน เซน อาจใช้โอกาสนี้เปิดทางให้ ฮุน มาเนต บุตรชายได้แสดงความเป็นผู้นำ

นอกจากนี้ ฮุน เซน ยังอาจต้องการเบี่ยงเบนความสนใจที่ ฮุน มาเนต ล้มเหลวในการแก้ปัญหา “โรคหลอกลวงระบาด” (scamdemic) ประเมินกันว่า ธุรกิจผิดกฎหมายในกัมพูชา ทั้งบ่อนกาสิโน การค้ามนุษย์ และแก๊งคอลล์เซ็นเตอร์ มีการประเมินกันว่าธุรกิจผิดกฎหมายในกัมพูชา ทั้งบ่อนคาสิโน การค้ามนุษย์ และแก๊งคอลล์เซ็นเตอร์ ครองสัดส่วนถึง 40% ของจีดีพีกัมพูชา เรื่องราวซับซ้อนยิ่งขึ้นเมื่อรัฐบาล แพรทองธาร ชินวัตร เดินหน้านโยบายคาสิโนในไทย เพราะจะเป็นการตัดรายได้ก้อนใหญ่ที่จะไหลเข้าตระกูลฮุนและกัมพูชา

ขณะเดียวกัน การระงับอำนาจของแพทองธารทำให้เกิดสุญญากาศทางอำนาจในประเทศไทย ประเทศไทยมีเพียงนายกรัฐมนตรีรักษาการและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรักษาการ ซึ่งหมายความว่าอำนาจในการจัดการเรื่องชายแดนได้ตกไปอยู่ในมือของกองกองทัพ

“นี่เป็นสูตรสำเร็จที่อันตราย” ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ กล่าว “ในแง่หนึ่งกองทัพไทยมีอำนาจควบคุม ในอีกแง่หนึ่ง ฮุนเซน จะคอยยั่วยุสถานการณ์อยู่เรื่อยๆ”

ยังไม่แน่ชัดว่าทางออกจะเป็นอย่างไร เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา  อันวาร์ อับราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย พูดคุยกับทั้งสองฝ่ายในฐานะประธานสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) คนปัจจุบัน และยกย่อง “สัญญาณเชิงบวกและความเต็มใจ” ที่จะหยุดยั้งการนองเลือด

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นที่รู้กันดีว่าอันวาร์มีความใกล้ชิดกับทักษิณ ซึ่งก่อนหน้านี้อันวาร์ได้แต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาด้านเมียนมา จึงไม่แน่ชัดว่า ฮุน เซน จะไว้วางใจในความเป็นกลางของอันวาร์หรือไม่

และเมื่อสหรัฐฯ ถอดถอนการทูตระดับภูมิภาคภายใต้การนำของทรัมป์ออกไปอย่างสิ้นเชิง หน้าที่ของคนกลางในการไกล่เกลี่ยข้อตกลงอาจตกเป็นของจีน ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากในกัมพูชาและมีความใกล้ชิดกับกองทัพไทย

แต่นอกเหนือจากการเพิ่มอิทธิพลในภูมิภาคของปักกิ่งแล้ว ความขัดแย้งครั้งนี้จะสร้างความเสียหายให้กับทั้งสองฝ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย ประการแรก ประเทศไทยดูอ่อนแอและแตกแยก ในขณะเดียวกัน กัมพูชาที่เคยตกอยู่ในภาวะสงคราม ก็เป็นตัวอย่างของการทิ้งทุ่นระเบิดอันเป็นภัยร้ายแรงมาอย่างยาวนาน และได้รับเงินบริจาคจากต่างประเทศมากกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อใช้ในการกวาดล้างทุ่นระเบิดกว่า 6 ล้านลูกที่เคยกระจัดกระจายเกลื่อนกลาดไปทั่วดินแดนอันเขียวขจีของประเทศ รวมถึงเงิน 208 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากสหรัฐฯ เพียงประเทศเดียวนับตั้งแต่ปี 1993

แต่การเปิดเผยว่าทหาร 5 นายของไทยได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดที่เพิ่งวางใหม่โดยกัมพูชา ได้สร้างความโกรธแค้นให้กับประชาคมโลก

บทความปิดท้ายด้วยการอ้าง ฟิล โรเบิร์ตสัน ผู้อำนวยการกลุ่มสนับสนุนสิทธิมนุษยชนและแรงงานเอเชีย (AHRLA) ที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ว่า “นั่นสร้างความเสียหายอย่างมากต่อกัมพูชา พวกเขาต้องการสู้ แต่สุดท้ายแล้ว ทั้งสองฝ่ายจะต้องเสียชื่อเสียง” แม้แต่เรื่องเล็กน้อยก็อาจต้องแลกมาด้วยราคาที่สูง

Photo by Lillian SUWANRUMPHA / AFP, Photo by Yasuyoshi CHIBA / AFP

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์