สนามบินหลักในกรุงออสโลและโคเปนเฮเกนกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งหลังจากต้องปิดทำการเนื่องจากพบเห็นโดรนหลายลำใกล้กับสนามบิน ซึ่งทำให้เที่ยวบินล่าช้าและถูกยกเลิกเป็นเวลาหลายชั่วโมงในวันจันทร์ (22 ก.ย.) และเช้าวันอังคาร (23 ก.ย.)
โฆษกสนามบินกล่าวว่า “ท่าอากาศยานโคเปนเฮเกนถูกปิดทำการประมาณ 20.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น หลังจากพบเห็นโดรน ‘ไม่สามารถระบุได้’ 2-3 ลำในพื้นที่...ไม่มีเที่ยวบินไหนได้รับอนุญาตให้ขึ้นหรือลงจอด” ขณะที่ทางตำรวจระบุว่า “โดรนดังกล่าว ‘มีขนาดใหญ่’”
ทางสนามบินแจ้งผ่าน X ว่า “ยังพบโดรนบินอยู่บริเวณสนามบินในเวลาประมาณ 23:17 น. ตามเวลาท้องถิ่น” พร้อมระบุว่า “สนามบินเปิดให้บริการอีกครั้งประมาณเวลา 00:20 น. ตามเวลาท้องถิ่น” แต่คาดว่าจะยังมีความล่าช้าและการยกเลิกเที่ยวบินอยู่บ้าง
ตามรายงานของสนามบิน ระบุว่า ก่อนหน้านี้ เที่ยวบินขาออกจากกรุงโคเปนเฮเกน เมืองหลวงของเดนมาร์กถูกยกเลิก หรือล่าช้า และเที่ยวบินขาเข้าถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังสนามบินอื่นๆ ในเดนมาร์ก ขณะที่บางเที่ยวบินถูกส่งไปยังโกเธนเบิร์กและมัลเมอในสวีเดน
โฆษกตำรวจโคเปนเฮเกนเผยกับ CNN ว่า “จนถึงเวลา 22:15 น. ตามเวลาท้องถิ่น ยังไม่มีการจับกุมผู้ต้องสงสัย และกำลังอยู่ระหว่างการสอบสวน”
“ในนอร์เวย์ น่านฟ้าเหนือสนามบินออสโลถูกปิดในเช้าวันอังคาร (23 ก.ย.) เนื่องจากพบโดรนอีกลำหนึ่ง นั่นหมายความว่าเที่ยวบินขาเข้าตอนนี้ถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังสนามบินที่ใกล้ที่สุด...ตำรวจกำลังสอบสวนเหตุการณ์นี้อยู่” โมนิกา ไอเรน ฟาสติ้ง ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารบอกกับ CNN
สำนักข่าว Reuters รายงานโดยอ้างคำพูดของโฆษกของ ‘Avinor’ บริษัทผู้ให้บริการสนามบินของนอร์เวย์ ว่า “สนามบินออสโลเปิดให้บริการอีกครั้งประมาณเวลา 03:22 น. ตามเวลาท้องถิ่น”
ก่อนหน้านั้น ตำรวจออสโลแจ้งว่าจับชาวต่างชาติ 2 คนฐานบินโดรนในพื้นที่หวงห้าม ยังไม่มีข้อบ่งชี้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่โคเปนเฮเกน สื่อของนอร์เวย์รายงานว่าโดรนดังกล่าวบินเหนือป้อมปราการอาเคอร์ชูส ซึ่งเป็นปราสาทยุคกลางที่บางครั้งใช้เป็นสถานที่จัดงานของรัฐบาล
ยุโรปอยู่ในภาวะเฝ้าระวังนับตั้งแต่โดรนของรัสเซียละเมิดน่านฟ้าของทั้งโปแลนด์และโรมาเนียเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ส่งผลให้พันธมิตร NATO ให้คำมั่นที่จะเสริมกำลังป้องกันในแนวตะวันออกของ NATO ปัจจุบันยังไม่มีข้อบ่งชี้ว่ากิจกรรมโดรนในเดนมาร์กและนอร์เวย์เมื่อวันจันทร์ (22 ก.ย.) มีความเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกี่ยวข้องกับรัสเซีย
(Photo by Sergei GAPON / AFP)