ครั้งหนึ่ง ‘เนเธอร์แลนด์’ ก็เคยขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศหนึ่งที่เผชิญกับ ‘น้ำท่วมรุนแรง’ บ่อยครั้งมานานหลายศตวรรษ ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานั้นกล่าวไว้ว่า “ดินแดนแห่งนี้ต้องเจอกับเหตุการณ์น้ำท่วมจากคลื่นพายุซัดชายฝั่งเกิดขึ้นมากกว่า 100 ครั้งตั้งแต่ปี 1200 โดยเฉลี่ยแล้วจะเกิดขึ้นประมาณ 15-20 ครั้งต่อศตวรรษ”
โดยเฉพาะพื้นที่จังหวัดซีแลนด์ที่มักถูกน้ำท่วมหนักบ่อยครั้ง เนื่องจากยังคงมีพื้นที่ที่เรียกว่า ‘ดินแดนจมน้ำ’ เช่น มาร์กีซาตแห่งแบร์เกนออปซูม บนฝั่งแม่น้ำออสเตอร์เชลเดอ, พื้นที่จมน้ำซัด-เบฟลันด์ที่ถูกน้ำท่วมในปี 1530, และพื้นที่จมน้ำซาฟติงเฮ ริมแม่น้ำเวสเทิร์นเชลด์ใกล้ชายแดนเบลเยียม
ไม่น่าแปลกใจเลยที่เนเธอร์แลนด์เจอเหตุการณ์น้ำท่วมซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะพื้นที่กว่า 1 ใน 4 ของประเทศตั้งอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลเฉลี่ย และยิ่งอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลมากขึ้นในช่วงน้ำขึ้นสูงและพายุรุนแรง อีกทั้งภูมิประเทศก็ยิ่งเปราะบางมากขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เฟรดินานต์ เดียร์มันเซ่ ผู้เชี่ยวชาญด้านความเสี่ยงน้ำท่วมจาก ‘Deltares’ สถาบันน้ำของเนเธอร์แลนด์ ได้อธิบายถึงสภาพแวดล้อมของประเทศนี้ว่า “มีแม่น้ำหลัก 2 สาย ได้แก่ แม่น้ำไรน์ และแม่น้ำเมิซที่ไหลมาจากทิศตะวันออกเฉียงใต้และไหลลงสู่ทะเลเหนือ ซึ่งเป็นช่องทางน้ำหลักที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมขึ้นได้หากไม่ได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม”
“หากพิจารณาน้ำทั้งหมด ทั้งทะเล แม่น้ำ ทะเลสาบ ประมาณ 60% ของประเทศเรามีแนวโน้มที่จะเกิดน้ำท่วม ซึ่งถือว่าสูงมาก และเนื่องจากประเทศนี้อยู่ต่ำและราบเรียบมาก เหตุการณ์น้ำท่วมที่ควรจะเกิดขึ้นแค่ที่หุบเขาแม่น้ำจึงลุกลามไปไกล และเร็วกว่ามาก...และนั่นทำให้เราพยายามป้องกันสิ่งเหล่านี้มาโดยตลอด”
— เดียร์มันเซ่ กล่าว
‘เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่’ เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ

ทว่าจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เนเธอร์แลนด์ตระหนักถึงความจำเป็นของ ‘ระบบป้องกันน้ำท่วม’ นั้นเกิดขึ้นในปี 1953 นั่นก็คือ ‘เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่’ ที่เรียกว่า ‘The Flood’ ซึ่งสร้างความเสียหายและส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศ
“น้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้นในประเทศของเราเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1953 เป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบอย่างหนักหน่วงต่อพวกเราทุกคน ทั้งพวกคุณและผม รวมถึงประชาชนทั่วประเทศ...มันต้องไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก”
— เจคอบ อัลเจรา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและการจัดการน้ำของเนเธอร์แลนด์ในขณะนั้น กล่าว
ในคืนวันที่ 31 มกราคม ถึงเช้าวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1953 เกิดการแตกของคันกั้นน้ำใหญ่ถึง 96 แห่งและคันกั้นน้ำเล็กเกือบ 400 แห่ง ทำให้น้ำทะเลทะลักเข้าท่วมพื้นที่กว่า 200,000 เฮกตาร์ (2,000 ตารางกิโลเมตร) ผู้คนจำนวน 1,836 คนจมน้ำเสียชีวิต พร้อมกับสัตว์เลี้ยงอีกกว่า 182,000 ตัว อีกทั้งบ้านเรือนและฟาร์มกว่า 3,300 หลัง และอาคารอีกกว่า 43,000 หลังได้รับความเสียหายอย่างหนัก
“ไม่มีเหตุการณ์ใดที่จุดประกายความพยายามระดับชาติในการสร้างกำแพงกันคลื่น และระบบป้องกันน้ำท่วมอย่างจริงจังได้เท่ากับน้ำท่วมในปี 1953...นี่คือช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ”
— เดียร์มันเซ่ กล่าว
ระบบป้องกันน้ำท่วม ‘Delta Works’ ถือกำเนิดขึ้น...

ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์หลังเกิดอุทกภัยในปี 1953 รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ได้จัดตั้งคณะกรรมการในการดำเนินงานสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมที่มีประสิทธิภาพสูงที่เรียกว่า ‘Delta Works’ ซึ่งเป็นโครงการก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเนเธอร์แลนด์ มีเป้าหมายเพื่อป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศทั้งหมด ประกอบด้วย :
- เขื่อน
- ประตูระบายน้ำ
- กำแพงกั้นน้ำ
- ทำนบกั้นน้ำ
- กำแพงป้องกันน้ำท่วมจากคลื่นพายุ
โครงการ ‘Delta Works’ ซึ่งเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 1954-1997 ใช้งบประมาณประมาณ 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.2 แสนล้านบาท) และใช้เวลาสร้างนานถึง 43 ปี มีเป้าหมายง่ายๆ คือ ‘การป้องกันไม่ให้น้ำทะเลเข้าท่วมพื้นที่มากที่สุดเท่าที่จะทำได้’
“หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมในปี 1953 ก็เหมือนกับว่า ‘โอเค เราจะต้องปิดปากแม่น้ำหลายแห่ง’”
— เดียร์มันเซ่ กล่าว
ในช่วง 40 ปีต่อมา วิศวกรชาวดัตช์ได้ปิดปากแม่น้ำหลายแห่ง, พัฒนาระบบประตูน้ำป้องกันน้ำท่วมที่สามารถเคลื่อนที่ได้, และเปลี่ยนรูปทรงของประเทศด้วยการเปลี่ยนชายฝั่งที่เคยหยักยื่นยาวประมาณ 700 กิโลเมตร ให้กลายเป็นแนวป้องกันน้ำท่วมที่ตรงยาว 80 กิโลเมตรเพื่อต้านน้ำทะเลจากทะเลเหนือ เรียกได้ว่าเป็น ‘ระบบป้องกันน้ำท่วมที่มีขนาดใหญ่ และสมบูรณ์แบบจนไม่มีใครในโลกเทียบได้’
ส่วนที่สำคัญของโครงการนี้คือ ‘โอสเตอร์สเชลเดอเคริง’ (Oosterscheldekering) กำแพงกั้นคลื่นพายุขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเป็นเขื่อนคอนกรีตและเหล็ก พร้อมเกาะเทียมที่ทอดยาวถึง 9 กิโลเมตรข้ามช่องแคบสเกลต์ตะวันออก (อดีตปากแม่น้ำในจังหวัดซีแลนด์) อย่างไรก็ดี เขื่อนดังกล่าวถูกออกแบบให้ทนทานต่อคลื่นพายุระดับที่เกิดขึ้นเฉลี่ยเพียงครั้งละ 4,000 ปี และได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘สิ่งมหัศจรรย์ลำดับที่ 8 ของโลก’
ในสภาพอากาศปกติกำแพงกันคลื่นจะเปิดให้กระแสน้ำขึ้นลงบริเวณปากแม่น้ำเชลเดอทางตะวันออก ทำให้น้ำเค็มไหลเข้าออกได้ตามธรรมชาติ ส่งผลดีต่อสัตว์น้ำและนก รวมถึงแหล่งประมงในพื้นที่ แต่ในช่วงพายุรุนแรง ดังเช่นพายุที่ทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ในปี 1953 กำแพงกั้นคลื่นเหล่านี้ก็จะถูกปิดลงเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำขึ้นสูง และป้องกันไม่ให้คลื่นพายุเข้าท่วมพื้นที่ราบลุ่มใกล้เคียง

สำหรับประตูน้ำที่มีแขนโค้ง 2 ข้าง ซึ่งปกติจะตั้งอยู่ 2 ข้างลำคลองที่มุ่งหน้าสู่เมืองนั้น แต่ละข้างมีความสูงและหนักเป็น 2 เท่าของหอไอเฟล ในยามจำเป็น แขนเหล่านี้จะแกว่งลงไปในน้ำเพื่อเชื่อมติดกันจมลงสู่ก้นทะเล และก่อตัวเป็นกำแพงต้านน้ำทะเลสูง 22 เมตรเพื่อป้องกันน้ำทะเล สิ่งก่อสร้างนี้ถือเป็นหนึ่งในโครงสร้างเคลื่อนที่ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีข้อต่อแบบลูกปืน 2 ข้างที่ยึดติดอยู่กับคันกั้นน้ำด้านข้างลำคลอง โดยมีน้ำหนักข้อต่อแต่ละข้างถึง 680 ตัน
เนื่องจากชาวดัตช์แทบไม่เคยปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดในการป้องกันน้ำท่วมแม้แต่น้อย จึงได้ออกแบบให้ประตูป้องกันน้ำท่วมนี้ปิดเองโดยอัตโนมัติก่อนที่ภัยพิบัติจะเกิดขึ้น เช่น เมื่อมีการคาดการณ์ว่าระดับน้ำทะเลจะสูงกว่า 3 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลใกล้เมืองรอตเทอร์ดาม ทีมงานจาก ‘Rijkswaterstaat’ ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐบาลที่รับผิดชอบด้านการจัดการน้ำท่วม ก็จะคอยเฝ้าระวังสถานการณ์อยู่เสมอ
ทั้งนี้ ความสำคัญของ ‘Delta Works’ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การปกป้องพื้นที่จากน้ำทะเลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังสร้างภูมิประเทศใหม่ให้กับประเทศเนเธอร์แลนด์ด้วย เช่น พื้นที่เกษตรกรรมใหม่, ชายหาดเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ, เขตอนุรักษ์ธรรมชาติ, เกาะ, ทะเลสาบ, ป่าไม้, และท่าเรือใหม่ๆ



