ถอดบทเรียนประท้วงเนปาล! สะท้อนวัยรุ่นเจน Z ทั่วเอเชียไม่อาจทนต่อการ ‘คอร์รัปชัน’ ได้อีกต่อไป

13 ก.ย. 2568 - 07:49

  • การประท้วงทางการเมืองและการลุกฮือของประชาชน ‘ไม่ใช่เรื่องใหม่’ ในเนปาล การลุกฮือครั้งใหญ่ครั้งแรกของประเทศเกิดขึ้นในปี 1990 (จานา อันโดลัน ครั้งที่ 1) และครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในปี 2006 (จานา อันโดลัน ครั้งที่ 2)

  • แต่การประท้วงใหญ่ครั้งล่าสุดนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศที่นำโดยคนหนุ่มสาวเจน Z (เกิดระหว่างปี 1997-2012) ทั้งหมด โดยจากประชากรเกือบ 30 ล้านคนในเนปาล พบว่าประมาณ 40% เป็นคนเจน Z

  • การประท้วงที่นำโดยคนเจน Z ในเนปาลสะท้อนถึงการเคลื่อนไหวที่คล้ายคลึงกันในแถบเอเชียเมื่อไม่นานมานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบังกลาเทศ ศรีลังกา และอินโดนีเซีย

ถอดบทเรียนประท้วงเนปาล! สะท้อนวัยรุ่นเจน Z ทั่วเอเชียไม่อาจทนต่อการ ‘คอร์รัปชัน’ ได้อีกต่อไป

เมื่อ ‘การคอร์รัปชัน’ หยั่งรากลึกในสังคมเนปาลมานาน...จนประชาชนมิอาจกล้ำกลืนฝืนทนดิ้นรนใช้ชีวิต ในขณะที่กลุ่มอภิสิทธิ์ชนที่พวกเขาเรียกว่า ‘Nepo Kids’ กลับใช้ชีวิตติดหรู แต่ไม่แยแสความเป็นอยู่ของประชาชน 

ใครจะไปรู้ว่าคำสั่ง ‘แบนโซเชียลมีเดีย 26 แพลตฟอร์ม’ ของรัฐบาล เคพี ชาร์มา โอลี จะกลายเป็นชนวนที่ทำให้ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเจน Z ในกรุงกาฐมาณฑุหลายพันคนลุกฮือประท้วงขับไล่รัฐมนตรี ทั้งเผารัฐสภา เผาบ้านนักการเมือง จนท้ายที่สุดนายกฯ โอลีต้องประกาศลาออกเมื่อวันอังคาร (9 ก.ย.) 

จนถึงตอนนี้ ชาวเนปาลได้ผู้นำคนใหม่แล้ว นั่นก็คือ ‘สุชิลา คาร์กี’ อดีตประธานศาลฎีกาหญิงคนแรกของประเทศวัย 73 ปี ซึ่งเพิ่งสาบานตนเข้ารับตำแหน่งเป็น ‘นายกฯ รักษาการ’ เมื่อวันศุกร์ (12 ก.ย.) แน่นอนว่าคาร์กีก็ได้รับการสนับสนุน และเป็นที่ยอมรับในหมู่ชาวเจน Z ด้วย อย่างไรก็ดี แม้การประท้วงจะสงบลงมาเป็นเวลา 4 วันแล้ว แต่กองทัพยังคงลาดตระเวนฟื้นฟูความเรียบร้อย และประกาศเคอร์ฟิวอยู่ 

การลุกฮือประท้วง...ไม่ใช่เรื่องใหม่ในเนปาล 

(Photo by PRABIN RANABHAT / AFP)
(Photo by PRABIN RANABHAT / AFP)

การประท้วงทางการเมืองและการลุกฮือของประชาชน ‘ไม่ใช่เรื่องใหม่’ ในเนปาล การลุกฮือครั้งใหญ่ครั้งแรกของประเทศเกิดขึ้นในปี 1990 (จานา อันโดลัน ครั้งที่ 1) และครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในปี 2006 (จานา อันโดลัน ครั้งที่ 2) ซึ่งทั้งสองครั้งนี้เป็นการประท้วงเพื่อเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบการเมือง เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถสนองความคาดหวังของประชาชนที่ต้องการ ‘การปฏิรูป’ อย่างแท้จริงได้ 

แต่การประท้วงใหญ่ครั้งล่าสุดนี้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศที่นำโดยคนหนุ่มสาวเจน Z (เกิดระหว่างปี 1997-2012) ทั้งหมด โดยจากประชากรเกือบ 30 ล้านคนในเนปาล พบว่าประมาณ 40% เป็นคน้เจน Z 

พวกเขาเติบโตขึ้นมาท่ามกลางวัฒนธรรมดิจิทัลที่ถูกหล่อหลอมโดยอินเทอร์เน็ตและแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย อีกทั้งยังผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายที่สุดของเนปาลที่เต็มไปด้วยความไร้เสถียรภาพทางการเมืองและการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยครั้ง ซึ่งในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา มีรัฐบาลมาแล้วทั้งหมด 14 รัฐบาล 

ในปี 2008 เนปาลประกาศเปลี่ยนผ่านจาก ‘ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ’ ไปเป็น ‘ระบอบสาธารณรัฐสหพันธรัฐ’ และรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็เพิ่งผ่านความเห็นชอบในปี 2015 ทว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้แทบไม่ก่อให้เกิดการพัฒนาใดๆ แก่ประชาชนทั่วไป แม้จะมีการปรับปรุงถนน ไฟฟ้า และอินเทอร์เน็ตบ้าง แต่ความเหลื่อมล้ำ การคอร์รัปชันทางการเมือง การแบ่งแยกชนชั้น และการเล่นพรรคเล่นพวกก็ยังคงมีอยู่ 

และอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่ทำให้สถานการณ์ ‘เลวร้าย’ ลงไปอีกก็คือ ‘อัตราการว่างงานโดยรวม’ ที่สูงกว่า 10% โดยมากกว่า 20% เป็นหนุ่มสาวเจน Z 

ทำไม ‘การแบนโซเชียลมีเดีย’ ถึงกลายเป็นชนวนความโกรธแค้นขนาดนั้น? 

(Photo by Prabin RANABHAT / AFP)
(Photo by Prabin RANABHAT / AFP)

ในประเทศที่ครัวเรือนมากกว่า 73% มีโทรศัพท์มือถือ และประชากรประมาณ 55% ใช้อินเทอร์เน็ต แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจึงไม่เพียงแต่เป็นแหล่งความบันเทิงและการสร้างเครือข่ายเท่านั้น แต่ยังเป็นช่องทางในการเรียกร้องทางการเมืองอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสื่อมวลชนดั้งเดิมถูกมองว่า ‘เอนเอียงไปทางผลประโยชน์ทางการเมือง’ 

คนเจน  Z ของเนปาลใช้โซเชียลมีเดียเป็นทั้งพื้นที่ทางสังคมและทางการเมือง พวกเขามักจะติด #Nepobaby หรือ #NepoKids บน TikTok ที่เผยให้เห็นลูกหลานนักการเมืองที่มีอภิสิทธิ์ชนกินหรูอยู่แพงใช้แบรนด์เนม ในขณะที่ประชาชนยังใช้ชีวิตลำบาก โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวที่ต้องดิ้นรนหางานทำ บางคนต้องออกไปหางานทำนอกประเทศเพื่อความอยู่รอด  

เมื่อวันที่ 3 กันยายน รัฐบาลโอลีในขณะนั้นจึงสั่งแบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเหล่านี้ โดยอ้างถึงคำสั่งที่กำหนดให้บริษัทต่างๆ ต้องจดทะเบียนในเนปาล พร้อมให้เหตุผลว่า ‘มาตรการนี้มีความจำเป็นเพื่อควบคุมข่าวปลอม ข้อมูลบิดเบือน และข้อมูลที่บิดเบือน’ 

แต่คนเจน Z มองว่า คำสั่งดังกล่าวเป็น ‘การเซ็นเซอร์’ จึงเกิดความไม่พอใจที่แพร่กระจายบนโซเชียลมีเดียอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นการลุกฮือขึ้นทั่วประเทศ ทำให้รัฐบาลโอลียกเลิกคำสั่งเมื่อวันที่ 8 กันยายน ทว่าในเวลานั้น ‘มันก็สายเสียแล้ว!’ 

“การประท้วงไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน...การใช้อำนาจในทางมิชอบและการคอร์รัปชันของผู้นำพรรคการเมืองหลายพรรคนำไปสู่สถานการณ์เช่นนี้...”

อชิรวาด ตรีพาธี นักรณรงค์ด้านสิทธิพลเมืองในกรุงกาฐมาณฑุ บอกกับสำนักข่าว Al Jazeera 

แรงขับเคลื่อนที่ก่อให้เกิดการประท้วงใหญ่ในเนปาลก็คล้ายกับประเทศอื่นๆ ในเอเชีย... 

(Photo by Prabin RANABHAT / AFP)
(Photo by Prabin RANABHAT / AFP)

การประท้วงที่นำโดยคนเจน Z ในเนปาลสะท้อนถึงการเคลื่อนไหวที่คล้ายคลึงกันในแถบเอเชียเมื่อไม่นานมานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบังกลาเทศ ศรีลังกา และอินโดนีเซีย 

ยกตัวอย่าง ขบวนการ ‘Aragalaya’ในศรีลังกาปี 2022 เมื่อผู้ประท้วงเริ่มทนกับความเหลื่อมล้ำและการเล่นพรรคเล่นพวกไม่ไหว พวกเขาจึงออกมาประท้วงใหญ่จนรัฐบาลล่มสลาย 

เช่นเดียวกับการประท้วงลุกฮือในบังกลาเทศเมื่อปี 2024 เมื่อผู้ประท้วงวัยหนุ่มสาวรู้สึกหมดหวังกับปัญหาคอร์รัปชัน และการว่างงาน 

และล่าสุดกับเหตุประท้วงในอินโดนีเซียในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะประชาชนรับไม่ได้กับการที่รัฐบาลให้เบี้ยเลี้ยงที่อยู่อาศัยแก่สมาชิกรัฐสภามากเกินไป ซึ่งสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำในเมืองหลวงเกือบ 10 เท่า   

แม้ได้ ‘ผู้นำรักษาการ’ แต่ความท้าทาย...ยังคงมีอยู่ 

นี่ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่ง...เมื่อกองทัพบกไปขอให้เยาวชนที่เคยสร้างความปั่นป่วนในประเทศ ช่วยกำหนดอนาคตทางการเมือง และเสนอชื่อผู้นำรักษาการที่พวกเขาเห็นว่าเหมาะสม ซึ่งพวกเขาสนับสนุนให้ คาร์กี อดีตประธานศาลฎีกาขึ้นมาเป็นผู้นำในช่วงเวลานี้ที่ประเทศกำลังประสบปัญหา 

คาร์กี ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง เธอเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้ยืนหยัดต่อต้านการทุจริตอย่างแข็งกร้าว โดยเฉพาะการตัดสินคดีคอร์รัปชันอันโด่งดังหลายคดีต่อรัฐมนตรีและตำรวจระดับสูง ซึ่งส่งผลให้ตกเป็นเป้าสายตาของพรรคการเมืองใหญ่ๆ   

บางทีเนปาลอาจเรียนรู้บทเรียนจากสถานการณ์ล่าสุดของบังกลาเทศ ที่ผู้ประท้วงรุ่นเยาว์ก้าวเข้ามาช่วยจัดตั้งรัฐบาลรักษาการ ภายใต้การนำของมูฮัมหมัด ยูนุส ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ 

แม้จะมีความท้าทายรออยู่ข้างหน้า แต่การลุกฮือครั้งนี้ถือเป็นโอกาสครั้งประวัติศาสตร์ในการแก้ไขระบบรัฐบาลที่ล้มเหลวของเนปาล แต่การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงขึ้นอยู่กับว่า ‘อำนาจจะเปลี่ยนจาก ‘ผู้นำรุ่นเก่า’ ไปสู่ ‘ผู้นำรุ่นใหม่’ อย่างไร’ และพวกเขาสามารถแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างและระบบที่ผลักดันให้คนหนุ่มสาวออกมาประท้วงได้หรือไม่ 

(Photo by Prabin RANABHAT / AFP) 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์