ยุคนี้ใครๆ ก็เป็นอินฟลูเอนเซอร์กันได้ และยังสามารถให้ข้อมูล ให้คำแนะนำอะไรก็ได้กับฟอลโลเวอร์ แต่คำแนะนำผิดๆ เกี่ยวกับสุขภาพหรือการเงินจากคนที่เรียกตัวเองว่า อินฟลูเอนเซอร์ อาจนำมาสู่ความเสียหายเป็นวงกว้าง
ผลการศึกษาล่าสุดของมหาวิทยาลัยพอร์ตสมัธเผยให้เห็นด้านมืดของวัฒนธรรมดิจิทัลที่กำลังเฟื่องฟูนี้อีกครั้ง โดยพบว่า อินฟลูเอนเซอร์บนโซเชียลมีเดียสามารถก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านจิตใจ สุขภาพ และความปลอดภัยได้
อย่างเคสที่กำลังเป็นที่ถกเถียงในบ้านเรา เรื่องนมที่จำหน่ายในประเทศไทยว่า “นมไทยส่วนมากไม่ใช่นมแท้ มันคือนมผงผสมบลา บลา บลา”
หลังจากที่คลิปถูกเผยแพร่ ก็ทำให้เกิดความเข้าใจผิดและตื่นตระหนกในหมู่ผู้บริโภคเกี่ยวกับคุณภาพของผลิตภัณฑ์นมไทย จนผู้เชี่ยวชาญต้องออกมาโต้แย้งคำพูดดังกล่าว
เรื่องนี้มีกรณีศึกษาที่สร้างความฮือฮาไปทั่วโลกเมื่อเร็วๆ นี้คือ ที่จีน ทางการเพิ่งออกกฎหมายบังคับให้บรรดาอินฟลูเอนเซอร์ ที่ต้องการทำคอนเทนต์ พูดคุย หรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นและเนื้อหาที่ละเอียดอ่อนหรือประเด็นด้านวิชาชีพ เช่น ด้านการแพทย์ กฎหมาย การศึกษา หรือการเงิน จะต้องมีหลักฐานวุฒิการศึกษาในสาขาวิชาชีพนั้นๆ อย่างเป็นทางการ ก่อนจะโพสต์เนื้อหา กฎหมายนี้เพิ่งบังคับใช้ไปเมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา
ภายใต้กฎระเบียบใหม่นี้ ภาระความรับผิดชอบไม่ได้จำกัดแค่เฉพาะอินฟลูเอนเซอร์เท่านั้น แต่ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเอง อาทิ Douyin Weibo หรือ Bilibili ก็ต้องตรวจสอบคุณสมบัติและข้อมูลที่อินฟลูเอนเซอร์นำเสนอ เพื่อที่จะได้มั่นใจว่าข้อมูลเหล่านี้เชื่อถือได้ มีการอ้างอิงอย่างถูกต้อง และมีการขึ้นคำเตือนต่างๆ เพื่อชี้แจงอย่างชัดเจน
ยกตัวอย่าง เมื่อมีการเผยแพร่เนื้อหาบนแพลตฟอร์ม อินฟลูเอนเซอร์จะต้องระบุแหล่งข้อมูลว่ามาจากไหน ศึกษาหรือวิจัยเมื่อไหร่ และหากมีการใช้ภาพ หรือคลิปวิดีโอที่สร้างขึ้นโดย AI ก็ต้องเน้นย้ำว่าเป็น AI ไม่ใช่ของจริง ซึ่งทางแพลตฟอร์มจะต้องให้ความรู้กับอินฟลูเอนเซอร์เกี่ยวกับความรับผิดชอบที่ต้องแบกรับ เมื่อแชร์เนื้อหาบนออนไลน์ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ สำนักงานบริหารไซเบอร์สเปซแห่งประเทศจีน (CAC) ยังแบนโฆษณาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ อาหารเสริม และอาหารเพื่อสุขภาพ เพื่อป้องกันการโฆษณาสินค้าที่แฝงมาในรูปแบบคลิปวิดีโอให้ความรู้
อินฟลูเอนเซอร์ที่ฝ่าฝืนอาจถูกระงับบัญชี หรือปรับไม่เกิน 100,000 หยวน
ทางการจีนบอกว่า จุดประสงค์ของกฎนี้คือ เพื่อควบคุมการเผยแพร่ข้อมูลผิดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่อินฟลูเอนเซอร์ถูกมองว่าเป็นเสมือนผู้เชี่ยวชาญ เพื่อปกป้องสวัสดิการสาธารณะ และเพิ่มความน่าเชื่อถือของเนื้อหาออนไลน์
ชาวจีนหลายคนยินดีกับความเคลื่อนไหวนี้ โดยระบุว่า กฎหมายฉบับนี้อาจช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับการพูดคุยกันทางออนไลน์ และถึงเวลาแล้วที่ผู้เชี่ยวชาญตัวจริงจะเข้ามามีบทบาทในการพูดคุยบนโลกออนไลน์ ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งมองว่า กฎใหม่นี้แสดงให้เห็นถึงการควบคุมที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเป็นการปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ การจำกัดการสื่อสาร ตลอดจนเสรีภาพในการพูดและการแสดงออก ถึงขั้นห่วงว่า กฎนี้จะเปลี่ยนโซเชียลมีเดียจากพื้นที่เสรีในการแลกเปลี่ยนเป็นพื้นที่ที่ถูกรัฐควบคุม



