สำนักข่าว Channel News Asia กัมพูชากำลังถูกนานาชาติกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ ให้ปราบปรามกลุ่มอาชญากรที่ทำให้กัมพูชามีชื่อเสียงในฐานะศูนย์กลางการหลอกลวงระดับโลก
การบุกค้นและจับกุมตัวกลายเป็นข่าวพาดหัวอยู่เป็นประจำ แม้ว่าการดำเนินการเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องใหม่ และเป็นเรื่องที่รอคอยมานานและน่ายินดี แต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นกลับเป็นภาพลวงตา
แรงกดดันต่อกัมพูชาส่วนใหญ่มาจากหลายประเทศ เช่น จีน สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และล่าสุดคือ เกาหลีใต้ แต่แรงจูงใจภายในกัมพูชากลับน้อยลง เนื่องจากอุตสาหกรรมการหลอกลวงยังคงฝังรากลึกและทำกันอย่างเป็นระบบ
ไทยซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านก็กำลังเผชิญกับแรงกดดันเช่นกัน แต่ส่วนหนึ่งเป็นไปด้วยความเต็มใจและส่วนหนึ่งก็จำเป็นต้องดำเนินการบางอย่าง กลุ่มล็อบบี้ชาตินิยมของไทยเองก็เป็นแรงผลักดันเพิ่มเติม ขณะที่ความสัมพันธ์กับกัมพูชาถอยหลังกลับไปสู่ความเป็นปรปักษ์กันอีกครั้งเนื่องจากข้อพิพาทเรื่องพรมแดน
กัมพูชาถูกนานาชาติตรวจสอบ
แรงกดดันมาจากสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรผ่านมาตรการคว่ำบาตรบริษัท Prince Group และ Huione Group ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในกัมพูชา ซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม นักวิเคราะห์มองว่านี่เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าประชาคมโลกกำลังจริงจังกับการปราบปรามขบวนการฟอกเงิน
มาตรการคว่ำบาตรดังกล่าวก่อให้เกิดการสอบสวนทั่วภูมิภาค โดยหลายเขตอำนาจศาล รวมถึงสิงคโปร์และไต้หวัน ได้ยึดหรืออายัดทรัพย์สิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสอบสวน Prince Group
ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ไทยได้ส่งตัว เสอจื้อเจียง มหาเศรษฐีชาวจีน-กัมพูชา กลับไปยังประเทศจีน เพื่อดำเนินคดีในข้อหาบริหารเว็บไซต์คาสิโนออนไลน์ผิดกฎหมายกว่า 200 แห่ง มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ เดือนตุลาคมไทยยังเพิกถอนสัญชาติไทยของ ลี ยง พัด นักการเมืองชาวกัมพูชา เนื่องจากถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายหลอกลวง
ความโกรธแค้นในเกาหลีใต้ยังพุ่งเป้าไปที่ประเด็นเรื่องการบังคับใช้แรงงานและการค้ามนุษย์ หลังจากนักศึกษาชาวเกาหลีใต้ถูกทรมานจนเสียชีวิตในกัมพูชา โดยมีรายงานว่า เป็นฝีมือของกลุ่มอาชญากร กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ระบุว่า มีรายงานชาวเกาหลีใต้สูญหายหรือถูกกักขังโดยไม่สมัครใจในกัมพูชาถึง 330 กรณีในปีนี้ (นับถึงเดือนสิงหาคม)
เกาหลีใต้ยังติดป้ายเตือนประชาชนที่สนามบินนานาชาติอินชอนสำหรับผู้โดยสารที่เดินทางไปยังกัมพูชา เพื่อเตือนให้พวกเขาตระหนักถึงความเสี่ยงของงานที่ได้รับค่าตอบแทนสูง การถูกจำคุก และการลักพาตัว
แค่ผิวเผิน
Channel News Asia ระบุว่า แม้จะมีมาตรการคว่ำบาตรและการจับกุมที่โด่งดังไม่กี่ครั้ง และการบุกจับอีกหลายระลอกในกัมพูชา แต่เศรษฐกิจการฉ้อโกงของกัมพูชากลับไม่ได้รับผลกระทบมากนัก และไม่มีการแตะต้องกลุ่มใหญ่ๆ
ลินด์ซีย์ เคนเนดี ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ The Eyewitness Project ประจำกัมพูชา เผยกับ Channel News Asia ว่า ไม่มีหลักฐานใดๆ บ่งชี้ถึงการปิดในระดับที่ร้ายแรง
“ความเข้าใจของเราในขณะนี้คือ เหตุการณ์นี้ก็เหมือนกับทุกครั้งที่มีการปราบปรามครั้งใหญ่” เคนเนดีกล่าว “คุณกวาดล้างคนระดับล่าง กลุ่มเล็กๆ กลุ่มที่ไม่ได้รับการคุ้มครอง หรือเพียงแค่ชักชวนองค์กรหลอกลวงขนาดใหญ่ให้ส่งมอบคนระดับล่างที่พวกเขาไม่เกรงกลัวที่จะสูญเสียไป เพื่อแสดงให้คนอื่นเห็น”
เจสัน ทาวเวอร์ ผู้เชี่ยวชาญอาวุโสประจำประเทศไทยของ Global Initiative Against Transnational Organized Crime (GI-TOC) เห็นด้วยกับเคนเนดี โดยบอกว่า “เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้ว เนื่องจากแรงกดดันจากนานาชาติเพิ่มสูงขึ้น” แต่เสริมว่า ความเป็นจริงคือ ศูนย์หลอกลวงยังคงดำเนินการอยู่
การเมืองและรัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง
กัมพูชาถูกจีนเทาแทรกซึมอย่างลึกซึ้ง และรายงานหลายฉบับก็กล่าวว่า มีการเมืองและรัฐสมรู้ร่วมคิดด้วย
“การทุจริตที่แพร่หลาย การคุ้มครองที่เชื่อถือได้จากรัฐบาล และการร่วมมือของชนชั้นนำในพรรคการเมือง ล้วนเป็นปัจจัยหลักที่เชื่อมโยงการค้ามนุษย์กับอาชญากรรมไซเบอร์ในกัมพูชา และเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการต่อสู้กับการเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมนี้” รายงานของ Humanity Research Consultancy ในสหราชอาณาจักร ประจำเดือนพฤษภาคม 2025 ระบุ
ดัชนีการรับรู้การทุจริตประจำปี 2024 ขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) ซึ่งได้ให้คะแนน 180 ประเทศ ตั้งแต่ 0 (“คอร์รัปชันสูง”) ถึง 100 (“โปร่งใสมาก”) จัดให้กัมพูชาอยู่ในอันดับ 158 โดยได้ 21 คะแนน
รายงานการค้ามนุษย์ของสหรัฐฯ (TIP) ประจำปี 2025 จัดให้กัมพูชาอยู่ในระดับ 3 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุด และเรียกร้องให้ทางการกัมพูชาสอบสวนและดำเนินคดีผู้ค้ามนุษย์ “รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐบาล”
ผู้สังเกตการณ์ชาวกัมพูชาเผยกับ Channel News Asia ว่า ผู้ที่คัดค้านหรือเปิดเผยกิจกรรมทางอาชญากรรมต้องเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง นักข่าวที่รายงานข่าวเกี่ยวกับสถานที่หลอกลวงทางไซเบอร์ต้องเผชิญกับการข่มขู่และจับกุม
เบี่ยงประเด็น
แน่นอนว่าข่าวเชิงลบทำให้รัฐบาลกัมพูชาต้องอยู่ในภาวะตั้งรับและพยายามที่จะเบี่ยงเบนประเด็น
หลังจากเกาหลีใต้เตือนพลเมืองไม่ให้เดินทางไปยังบางพื้นที่ในกัมพูชา ฮวต ฮัก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวกัมพูชากล่าวว่า เขารับประกันความปลอดภัยและความมั่นคงของนักท่องเที่ยว โดยระบุว่า เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการหลอกลวงทางออนไลน์นั้นเกิดขึ้นนอกเมือง และส่วนใหญ่เกิดจากเครือข่ายต่างชาติที่ผิดกฎหมาย
กระทรวงการท่องเที่ยวกัมพูชาแถลงเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 4.3 ล้านคน ลดลง 8.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน การลดลงนี้อาจไม่ได้เกิดจากความกังวลเกี่ยวกับการหลอกลวงและการค้ามนุษย์เพียงอย่างเดียว แต่อย่างน้อยบางส่วนอาจเกี่ยวข้องกับการปะทะด้วยอาวุธกับไทยในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมด้วย
การปะทะกันระหว่างกัมพูชากับไทยเรื่องพรมแดนนั้น ในแง่หนึ่งเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจที่มีประโยชน์และสะท้อนให้เห็นถึงกระแสชาตินิยมในกัมพูชา แต่ในอีกแง่หนึ่ง ก็มีความเสี่ยงที่รัฐบาลกัมพูชาอาจถูกมองว่าไม่พร้อมที่จะปกป้องดินแดนของชาติ
ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือ ขนาดของอุตสาหกรรมนี้ ธนาคารโลกประมาณการว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของกัมพูชาในปี 2024 จะอยู่ที่ 46,350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รายงานเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการหลอกลวงของประเทศ เช่น รายงานที่เผยแพร่เมื่อเดือนพฤษภาคม 2024 โดยสถาบันสันติภาพแห่งสหรัฐฯ ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประมาณการว่า มูลค่าต่อปีของอุตสาหกรรมนี้อยู่ระหว่าง 12,500-19,000 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า อุตสาหกรรมการหลอกลวงแพร่หลายและเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจกัมพูชา และระดับความสมรู้ร่วมคิดของภาคส่วนต่างๆ ของรัฐก็ลึกซึ้งมาก จนเมื่อพิจารณาถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจและการเมือง หากพวกเขาดำเนินการอย่างจริงจังต่อกลุ่มผู้มีอิทธิพลรายใหญ่ที่สุด ดำเนินคดี และดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อกำจัดอุตสาหกรรมนี้ เศรษฐกิจกัมพูชาก็เสี่ยงจะล่มสลาย
แต่จนกว่าจะถึงตอนนั้น การปราบปรามและข่าวก็จะยังคงดำเนินต่อไป เช่นเดียวกับการหลอกลวง
Photo by STR / POOL / AFP



