กัมพูชาแถลง ‘ปฏิเสธหนักแน่น’ ไม่ได้ยั่วยุตามแนวชายแดน อ้างได้ยินเสียงปืนจากฝั่งไทย

26 ก.ย. 2568 - 07:26

  • กระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ (MoFAIC) ได้แสดงความกังวลดังกล่าวในแถลงการณ์เมื่อวานนี้ (25 ก.ย.) ‘ปฏิเสธอย่างหนักแน่น’ ต่อข้อกล่าวหาที่ว่า “พลเรือนกัมพูชารุกรานประเทศไทยใน 17 พื้นที่ตามแนวชายแดน”

  • ขณะที่กระทรวงกลาโหมกัมพูชาย้ำถึงความปรารถนาที่จะใช้กลไกโดยสันติและกฎหมายระหว่างประเทศในการแก้ไขข้อพิพาทชายแดนกับไทย และย้ำอีกครั้งว่า “พรมแดนต้องไม่เปลี่ยนแปลงด้วยการใช้กำลัง”

  • ยูก ชาง ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลกัมพูชา กล่าวว่า “คำแถลงของประเทศไทยปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชัง ความรุนแรง และการเลือกปฏิบัติต่อกัมพูชา และจะขัดขวางความพยายามฟื้นฟูสันติภาพระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้าน”

กัมพูชาแถลง ‘ปฏิเสธหนักแน่น’ ไม่ได้ยั่วยุตามแนวชายแดน อ้างได้ยินเสียงปืนจากฝั่งไทย

แม้จะมีความคืบหน้าในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) เพื่อลดความตึงเครียดทวิภาคี แต่ดูเหมือนว่ากัมพูชายังคงกังวลเกี่ยวกับประเด็นที่ไทยกล่าวหาถึงการบุกรุกของพลเรือนกัมพูชาตามแนวเขตชายแดนทั้งสองประเทศ  

กระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศ (MoFAIC) ได้แสดงความกังวลดังกล่าวในแถลงการณ์เมื่อวานนี้ (25 ก.ย.) ‘ปฏิเสธอย่างหนักแน่น’ ต่อข้อกล่าวหาที่ว่า “พลเรือนกัมพูชารุกรานประเทศไทยใน 17 พื้นที่ตามแนวชายแดน” 

กระทรวงฯ ระบุว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ใกล้กับจังหวัดโพธิสัตว์และเกาะกงของกัมพูชา ตรงข้ามกับอำเภอเมือง จังหวัดตราด “สิ่งสำคัญคือต้องยอมรับความจริงที่ว่า แม้ว่าทั้งสองประเทศยังไม่ได้กำหนดเขตแดนร่วมกันหลายส่วน แต่ประชาชนทั้งสองฝ่ายได้อาศัยและทำการเกษตรบนผืนดินเหล่านี้มานานหลายทศวรรษในพื้นที่ที่ยังไม่ได้กำหนดเขตแดนหลายแห่ง” แถลงการณ์ ระบุ 

“เรื่องนี้ก่อให้เกิดข้อพิพาท หรือข้อขัดแย้งที่ทั้งสองฝ่ายสามารถแก้ไขอย่างสันติผ่านคณะกรรมการชายแดนทั่วไป และทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะส่งประเด็นปัญหาที่ซับซ้อนนี้ไปยังคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อกำหนดเขตแดนทางบก (JBC) เพื่อยุติปัญหา ตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและกำหนดเขตแดนทางบกที่ลงนามในปี 2000” 

กระทรวงฯ เสริมว่า “กัมพูชามุ่งมั่นที่จะยึดมั่นในข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายได้ให้การยอมรับในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปวาระพิเศษ ซึ่งสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 10 กันยายน และจะใช้ความยับยั้งชั่งใจอย่างที่สุดและปฏิบัติตามเงื่อนไขการหยุดยิงอย่างเคร่งครัด” 

ขณะที่กระทรวงกลาโหมกัมพูชาย้ำถึงความปรารถนาที่จะใช้กลไกโดยสันติและกฎหมายระหว่างประเทศในการแก้ไขข้อพิพาทชายแดนกับไทย และย้ำอีกครั้งว่า “พรมแดนต้องไม่เปลี่ยนแปลงด้วยการใช้กำลัง” 

เมื่อวันพฤหัสบดี (25 ก.ย.) กระทรวงกลาโหมกัมพูชา ‘ปฏิเสธอย่างหนักแน่น’ ต่อข้อกล่าวหาของแหล่งข่าวและสื่อไทยที่ว่า “กองกำลังกัมพูชาก่อความไม่สงบตามแนวชายแดนเมื่อคืนวันพุธ (24 ก.ย.)”  โดยยืนยันว่า “การยิงปืนมาจากฝ่ายไทย” 

“กองทัพกัมพูชาไม่ได้ริเริ่มการยั่วยุ หรือดำเนินกิจกรรมใดๆ ที่ละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ตามที่ฝ่ายไทยกล่าวหา”

กระทรวงกลาโหมกัมพูชา ระบุ 

กองกำลังกัมพูชาที่ประจำการอยู่แนวหน้าระบุว่า “มีการยิงปืนหลายนัดจากฝ่ายไทยในช่วงเช้ามืดของวันพฤหัสบดี (25 ก.ย.) โดยได้ยินเสียงปืนนัดเดียวเวลา 02.57 น. ตามด้วยอีกนัดเวลา 05.00 น. จากนั้นก็มีรายงานการยิงปืนอีกครั้งเวลา 06.00 น. และ 07.00 น.” 

กระทรวงกลาโหมกัมพูชาย้ำว่ากองกำลังกัมพูชายังคงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเต็มที่ และมุ่งมั่นที่จะรักษาเสถียรภาพ “กองทัพกัมพูชาย้ำถึงความมุ่งมั่นในการเคารพและปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเต็มที่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่” แถลงการณ์ระบุ 

ด้าน พลโทมาลี โสเจียตา เน้นย้ำถึงการทำงานอย่างต่อเนื่องของทีมสื่อสารไทย-กัมพูชา ซึ่งแลกเปลี่ยนข้อมูลและชี้แจงกันที่ชายแดนอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันความเข้าใจผิดและการลุกลาม 

รายงานจากกัมพูชาระบุว่า พล.ท.อมฤต บุญสุยา ผู้บัญชาการกองทัพภาคที่ 1 ของไทย ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเมื่อวันพฤหัสบดี (25 ก.ย.) ว่า “อุม เรียไตร ผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจย ได้ยุยงปลุกปั่นประชาชนชาวกัมพูชาให้ต่อต้านประเทศไทย...กัมพูชากำลังพยายามบิดเบือนและสร้างภาพลักษณ์ต่างๆ อย่างชัดเจน แต่เรารู้ว่าพวกเขากำลังสร้างข้อมูลเท็จ เช่น การแต่งกายเป็นพระสงฆ์ พาเด็กและสตรีไปยั่วยุ...”  

ขณะที่ อุม เรียไตร เรียกร้องให้ประเทศไทยยึดมั่นในเจตนารมณ์ตามกรอบความร่วมมือคณะกรรมการชายแดนร่วม (GBC) โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการหาทางออก และระงับการดำเนินการฝ่ายเดียวทั้งหมดที่อาจส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและการดำรงชีวิตของประชาชนทั้งสองฝ่ายจนกว่าจะมีมติจากคณะกรรมการชายแดนทั้งสองฝ่าย (JBC) 

ยูก ชาง ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลกัมพูชา กล่าวว่า “คำแถลงของประเทศไทยปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชัง ความรุนแรง และการเลือกปฏิบัติต่อกัมพูชา และจะขัดขวางความพยายามฟื้นฟูสันติภาพระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้าน” 

“นี่ไม่ใช่การข่มขู่ แต่เป็นถ้อยคำที่ปลุกระดมความเกลียดชัง การกระทำที่ยุยงให้เกิดความเกลียดชัง การเลือกปฏิบัติ หรือความรุนแรง ซึ่งถือเป็นอาชญากรรมที่ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายระหว่างประเทศ”

ยูก ชาง กล่าว 

(Photo by Handout / ROYAL THAI ARMY / AFP)   

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์