เส็ง ดีนา โฆษกกระทรวงยุติธรรมของกัมพูชา ย้ำว่าบันทึกความเข้าใจระหว่างกัมพูชาและไทยว่าด้วยการสำรวจและกำหนดเขตแดนทางบก (MoU 2543) ไม่สามารถเพิกถอนได้โดยฝ่ายเดียว
เมื่อวานนี้ เส็ง ดีนา ให้สัมภาษณ์กับ AKP โดยยกเหตุผลหลักสองประการ ประการแรก แม้ว่าเอกสารนี้จะมีชื่อว่าบันทึกความเข้าใจ (MoU) แต่ถือเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีน้ำหนักทางกฎหมายเทียบเท่ากับสนธิสัญญา โดยได้จดทะเบียนกับสหประชาชาติและประกาศใช้อย่างเป็นทางการตามมาตรา 102 ของกฎบัตรสหประชาชาติ
โฆษกกระทรวงยุติธรรมกัมพูชาอธิบายเพิ่มเติมว่า ภายใต้กฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศและหลักนิติศาสตร์ของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (คดี โซมาเลีย กับ เคนยา ปี 2017) ข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรใดๆ ระหว่างรัฐที่กำหนดภาระผูกพันทางกฎหมายที่มีผลผูกพันภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศจะเทียบเท่ากับสนธิสัญญา ไม่ว่าจะมีชื่อว่าอะไรก็ตาม
เส็งระบุว่า ประการที่สองคือ MoU 2543 ไม่มีข้อกำหนดการหมดอายุหรือบทบัญญัติสำหรับการยุติโดยฝ่ายเดียว
“ดังนั้น บันทึกความเข้าใจปี 2000 จึงยังคงมีผลบังคับใช้จนกว่าวัตถุประสงค์ของบันทึกความเข้าใจ คือการสำรวจและกำหนดเขตแดนทางบกระหว่างกัมพูชาและไทยจะบรรลุผลสำเร็จ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะถอนตัวไม่ได้หากไม่ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง” โฆษกกระทรวงยุติธรรมของกัมพูชากล่าวย้ำ
คำกล่าวนี้มีขึ้นหลังสื่อไทยรายงานว่า นายกรัฐมนตรีของไทยกำลังพิจารณาจัดทำประชามติว่าจะยกเลิก MoU กับกัมพูชาหรือไม่