ออสเตรเลียจะยกระดับกองทัพเรือด้วยการซื้อ ‘เรือฟริเกตคลาสโมกามิ’ (Mogami-class) จำนวน 11 ลำ ซึ่งสร้างโดยบริษัท Mitsubishi Heavy Industries ของญี่ปุ่น
ข้อตกลงนี้ถือเป็นการส่งออกทางด้านการป้องกันประเทศที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยออสเตรเลียจะจ่ายเงินมูลค่าประมาณ 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.9 แสนล้านบาท) ภายในระยะเวลา 10 ปีเพื่อจัดซื้อเรือฟริเกตสเตลท์ (Stealth Frigates) ซึ่งติดตั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพมากมาย
ออสเตรเลียกำลังอยู่ในระหว่างการปรับโครงสร้างทางทหารครั้งใหญ่ โดยการเสริมกำลังกองทัพเรือด้วยอาวุธยิงระยะไกลเพื่อยับยั้งจีน และมุ่งที่จะขยายกองเรือรบขนาดใหญ่จาก 11 ลำ เป็น 26 ลำ ภายในทศวรรษหน้า
“นี่เป็นข้อตกลงระหว่างอุตสาหกรรมกลาโหมที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ญี่ปุ่นและออสเตรเลียเคยทำ การตัดสินใจครั้งนี้พิจารณาจากศักยภาพที่ดีที่สุดของออสเตรเลีย เรามีความร่วมมือเชิงกลยุทธ์อย่างใกล้ชิดกับญี่ปุ่น”
— ริชาร์ด มาร์ลส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมออสเตรเลีย กล่าวเมื่อวันอังคาร (5 ส.ค.)
ทั้งนี้ บริษัท Mitsubishi Heavy Industries ได้รับเลือกให้เป็นผู้ประมูลเหนือบริษัท ThyssenKrupp Marine Systems ของเยอรมนี
“เรือลำดังกล่าวจะเข้ามาแทนที่เรือรบคลาสแอนแซคของออสเตรเลีย ซึ่งเป็นรุ่นเก่า และถูกใช้งานมานานแล้ว โดยคาดว่าเรือฟริเกตคลาสโมกามิลำแรกจะประจำการในน้ำในปี 2030 เรือรบคลาสโมกามิเป็นเรือรบฟริเกตที่ดีที่สุดสำหรับออสเตรเลีย มันเป็นเรือรุ่นใหม่ มีความสามารถล่องหน (ตรวจจับจากเรดาร์ได้ยาก) และติดตั้งช่องยิงขีปนาวุธพิสัยไกลแบบตั้งฉาก 32 ช่อง” มาร์ลส์ กล่าว
ข้อตกลงนี้ยิ่งตอกย้ำความร่วมมือด้านความมั่นคงที่กำลังเติบโตขึ้นระหว่างออสเตรเลียกับญี่ปุ่น อย่างไรก็ดี ญี่ปุ่นกำลังกระชับความร่วมมือกับพันธมิตรสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเหมือนว่าญี่ปุ่นกำลังมีข้อพิพาทเรื่องดินแดนกับจีน โดยทั้งญี่ปุ่นและออสเตรเลียต่างก็เป็นสมาชิกของกลุ่ม ‘Quad’ ร่วมกับอินเดียและสหรัฐฯ
โยชิมาสะ ฮายาชิ โฆษกรัฐบาลญี่ปุ่น กล่าวเมื่อวันอังคาร (5 ส.ค.) ว่า “ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความไว้วางใจในเทคโนโลยีระดับสูงของประเทศเรา และความสำคัญของการทำงานร่วมกันระหว่างกองกำลังป้องกันตัวเองของญี่ปุ่นและกองทัพออสเตรเลีย”
“นี่ยังเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับความร่วมมือด้านความมั่นคงแห่งชาติกับออสเตรเลีย ซึ่งเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์พิเศษของเรา” ฮายาชิ กล่าว
เพื่อให้กองทัพขยายใหญ่ และแข็งแกร่งกว่าเดิม
รัฐธรรมนูญสันติภาพของญี่ปุ่นจำกัดไม่ให้ส่งออกอาวุธ แต่ในปี 2024 ญี่ปุ่นได้ผ่อนคลายการควบคุมการส่งออกอาวุธเพื่อเพิ่มการขายในต่างประเทศได้ สื่อท้องถิ่นรายงานว่า คำสั่งซื้อครั้งนี้ถือเป็นข้อตกลงการส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2
แพท คอนรอย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกลาโหมออสเตรเลีย เผยว่า “เรือฟริเกตคลาสโมกามิมีความสามารถยิงขีปนาวุธร่อนระยะไกลแบบโทมาฮอว์กได้ การจัดหาเรือฟริเกตสเตลท์เหล่านี้จะทำให้กองทัพเรือของเรามีขนาดใหญ่ขึ้น และมีความร้ายแรงมากขึ้น”
“เรือฟริเกตคลาสโมกามิ 3 ลำแรกจะถูกสร้างขึ้นในต่างประเทศ และคาดว่าโรงต่อเรือในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียจะรับผิดชอบการผลิตเรือลำที่เหลือ”
ก่อนหน้านี้ ออสเตรเลียเคยประกาศข้อตกลงจัดหาเรือดำน้ำนิวเคลียร์ที่ออกแบบโดยสหรัฐฯ ในปี 2021 ซึ่งเป็นการยกเลิกแผนการพัฒนาเรือดำน้ำแบบไม่ใช้พลังนิวเคลียร์จากฝรั่งเศสที่ดำเนินมาหลายปี
ภายใต้ข้อตกลงไตรภาคี ‘AUKUS’ ระหว่างออสเตรเลีย สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร กองทัพเรือออสเตรเลียวางแผนที่จะจัดหาเรือดำน้ำคลาสเวอร์จิเนียอย่างน้อย 3 ลำภายใน 15 ปี
จากการคาดการณ์ของรัฐบาลออสเตรเลีย โครงการเรือดำน้ำ AUKUS เพียงอย่างเดียวอาจมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 235,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7.6 ล้านล้านบาท) ในอีก 30 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์
โครงการป้องกันประเทศหลักในออสเตรเลียมักประสบปัญหาเรื่องงบประมาณบานปลาย การเปลี่ยนนโยบายหลายครั้ง และแผนงานที่เน้นสร้างงานภายในประเทศมากกว่าด้านความมั่นคง
ออสเตรเลียมีแผนที่จะค่อยๆ เพิ่มการใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศเป็น 2.4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ซึ่งเกินเป้าหมายที่พันธมิตร NATO ตั้งไว้ที่ 2% แต่ก็ยังต่ำกว่าความต้องการของสหรัฐฯ ที่ต้องการให้ออสเตรเลียใช้จ่าย 3.5%
(Photo by Handout / AUSTRALIAN DEFENCE FORCE / AFP)