ไม่เหมือนที่คุยไว้! แรงงานเขมรกลับจากไทย 5.3 หมื่น แต่มีงานทำแค่ 1 หมื่นกว่าคน

23 ก.ค. 2568 - 07:53

  • ชาวกัมพูชาที่ทำงานในประเทศไทยกว่า 53,000 คน ได้ทยอยเดินทางกลับประเทศแล้วนับตั้งแต่รัฐบาลเรียกร้องให้กลับมา เนื่องจากความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นเกี่ยวกับปัญหาชายแดน

  • ตามรายงานของทางการระบุว่า ในจำนวนนี้ มีแรงงานราว 13,500 คนที่ได้งานในกัมพูชาแล้ว

  • แต่ชาวกัมพูชาบางส่วนเลือกที่จะอยู่ในประเทศไทยต่อไป โดยระบุว่า “สถานการณ์ยังคงเป็นไปตามปกติในกรุงเทพฯ” และอ้างถึงความตึงเครียดที่เกิดขึ้นเฉพาะในพื้นที่ชายแดน

ไม่เหมือนที่คุยไว้! แรงงานเขมรกลับจากไทย 5.3 หมื่น แต่มีงานทำแค่ 1 หมื่นกว่าคน

ชาวกัมพูชาที่ทำงานในประเทศไทยกว่า 53,000 คน ได้ทยอยเดินทางกลับประเทศแล้วนับตั้งแต่รัฐบาลเรียกร้องให้กลับมา เนื่องจากความตึงเครียดที่เพิ่มสูงขึ้นเกี่ยวกับปัญหาชายแดน ตามรายงานของทางการระบุว่า ในจำนวนนี้ มีแรงงานราว 13,500 คนที่ได้งานในกัมพูชาแล้ว  

อย่างไรก็ตาม ชาวกัมพูชาบางส่วนเลือกที่จะอยู่ในประเทศไทยต่อไป โดยระบุว่า“สถานการณ์ยังคงเป็นไปตามปกติในกรุงเทพฯ” และอ้างถึงความตึงเครียดที่เกิดขึ้นเฉพาะในพื้นที่ชายแดน 

ซุน เมซา โฆษกกระทรวงแรงงานและฝึกอบรมอาชีพ (MLVT) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Kiripost ของกัมพูชาว่า “นับตั้งแต่มีมาตรการจำกัดชายแดน มีชาวกัมพูชามากกว่า 53,000 คนเดินทางกลับประเทศแล้ว” และยืนยันว่า “มีชาวกัมพูชา 13,500 คน ที่ได้งานทำในประเทศอย่างในเมืองพนมเปญ กำปงสปือ และสวายเรียง ซึ่งเป็นจุดหมายที่น่าสนใจที่สุดสำหรับการจ้างงาน” 

“เรายังขอความร่วมมือให้ชาวกัมพูชาที่เดินทางกลับประเทศและกำลังจะเดินทางกลับ โปรดติดต่อหน่วยงานของเราที่ ‘สำนักงานจัดหางานแห่งชาติ’ เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งงานว่างและการฝึกอบรมอาชีวศึกษา (TVET) ซึ่งไม่มีค่าใช้จ่าย” ซุน เมซา กล่าว 

ขณะที่ โสก สมเนีย โฆษกกรมตรวจคนเข้าเมือง (GDI) เผยว่า “จำนวนแรงงานข้ามชาติยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกรมตรวจคนเข้าเมืองกำลังดำเนินการอย่างใกล้ชิดกับ MLVT ในเรื่องนี้ ดังนั้นจำนวนที่บันทึกไว้จึงน่าจะเป็นความจริง” 

จากการสัมภาษณ์ผ่านวิดีโอของแรงงานข้ามชาติที่เดินทางกลับประเทศซึ่งเผยแพร่โดยกระทรวง MLVT พบว่า ริน โสเค็ง, ซาน จันดี และเฮง โสเนม แรงงานที่เพิ่งเดินทางกลับจากการทำงานในประเทศไทย กำลังทำงานอยู่ในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง พร้อมได้รับการคุ้มครองทางสังคมและมีรายได้ที่สูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนหน้านี้ 

เจีย โสภีก วัย 28 ปี เดินทางกลับกัมพูชาเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคมบอกกับ Kiripost ว่า หลังจากทำงานในประเทศไทยมา 9 ปี ก็ตัดสินใจลาออกเพราะต้องเผชิญกับความยากลำบาก ทั้งค่าครองชีพที่สูงและการเก็บออมเงินที่น้อยลง 

“ผมรู้สึกกังวลเล็กน้อย เพราะสถานการณ์ความตึงเครียดชายแดนยังคงดำเนินอยู่ ผมจึงตัดสินใจกลับมา ตอนนี้ผมยังไม่มีงานทำ แต่ผมได้รับการติดต่อจากกระทรวง MLVT เพื่อรับข้อมูลตำแหน่งงานว่าง ผมรอคำแนะนำจากพี่เขยที่ชวนให้มาทำงานกับเขาที่เมืองสวายเรียง” เจีย โสภีก เล่า 

ด้าน เหลียง โสภณ เจ้าหน้าที่ศูนย์พันธมิตรแรงงานและสิทธิมนุษยชน (CENTRAL) ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “แรงงานข้ามชาติชาวกัมพูชาในประเทศไทยและผู้ที่หางานทำในประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ทั้งในแง่กฎหมาย การจัดการแรงงานต่างด้าว และสภาพแวดล้อมการทำงานที่ซับซ้อน” 

“นอกจากความตึงเครียดและข้อจำกัดที่ชายแดนแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งผลกระทบต่อแรงงานกัมพูชาในไทย เช่น ฤดูฝนทำให้สภาพการทำงานลำบาก บางคนไม่ได้รับค่าจ้าง และบางคนถูกนายจ้างเลิกจ้าง นอกจากนี้การต่ออายุใบอนุญาตทำงานก็เป็นเรื่องยากและล่าช้า ส่งผลให้แรงงานจำนวนมากถูกบังคับให้กลับกัมพูชาอย่างไม่เต็มใจ” 

“การดำเนินการขอวีซ่าใหม่มักจะใช้เวลานาน นับตั้งแต่ใบอนุญาตทำงานหมดอายุเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2025 มีแรงงานข้ามชาติยื่นขอวีซ่าใหม่แล้วกว่า 500,000 คน แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่ได้รับการอนุมัติ และต้องทำงานโดยผิดกฎหมาย ซึ่งทำให้ผู้ใช้แรงงานเผชิญกับความเสี่ยงทางกฎหมายและความไม่แน่นอนสูง” เหลียง โสภณ กล่าว 

ส่วน โคลธานน์ ซึ่งเป็นแรงงานก่อสร้างที่กำลังทำงานในกรุงเทพฯ เล่าว่า แม้จะมีความตึงเครียดระหว่างกัมพูชาและไทยในพื้นที่ชายแดน แต่เขายังสามารถทำงานในกรุงเทพฯ ได้ตามปกติโดยที่ไม่มีความกังวลใดๆ เพราะสถานการณ์ความตึงเครียดยังคงจำกัดอยู่เฉพาะในพื้นที่ชายแดนเท่านั้น 

“มีคนกัมพูชาหลายคนทำงานกับผม เรายังทำงานและหารายได้ได้เหมือนเดิม โดยที่ไม่รู้สึกกังวลอะไร เพราะเพื่อนร่วมงานชาวไทยบางคนก็แนะนำให้ผมอยู่ทำงานที่นี่ต่อไปเพื่อหารายได้” โคลธานน์ เล่า 

จากการสัมภาษณ์กับ Kiripost เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ธาโร ผู้จัดการโครงการของ CENTRAL เน้นย้ำว่า “ค่าจ้างขั้นต่ำเฉลี่ยต่อวันในประเทศไทย แบ่งตามภูมิภาคและจังหวัด อยู่ระหว่าง 337-400 บาท ซึ่งหากคำนวณเป็นรายเดือนแล้ว แรงงานจะมีรายได้ประมาณ 307-364 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9,800-11,700 บาท) ตามอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน แต่ในช่วงหลังมานี้ ประเทศไทยได้ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาทต่อวันในหลายจังหวัด”   

ในขณะเดียวกัน รายงานขององค์กร Oxfam ก็ระบุว่า ค่าจ้างขั้นต่ำในกัมพูชาก็เพิ่มขึ้นเป็น 208 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6,700 บาท) ในภาคการผลิตเครื่องนุ่งห่ม ขณะที่ภาคส่วนอื่นๆ ยังไม่ได้กำหนดค่าแรงขั้นต่ำที่ชัดเจน  

(Photo by Lillian SUWANRUMPHA / AFP) 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์