‘ช้างศึก’ กับ คิงส์คัพ 2025! แชมป์เท่านั้นเพื่อกำลังใจก่อนลุยต่อในเอเชียนคัพรอบคัดเลือก

3 ก.ย. 2568 - 11:01

  • เหลืออีกแค่วันเดียวเท่านั้นก่อนทัพ ‘ช้างศึก’ จะเข้าสู่โปรแกรมการแข่งขัน FIFA Day ทีมชาติไทยเตรียมลงป้องกันแชมป์ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 51

‘ช้างศึก’ กับ คิงส์คัพ 2025! แชมป์เท่านั้นเพื่อกำลังใจก่อนลุยต่อในเอเชียนคัพรอบคัดเลือก

เหลืออีกแค่วันเดียวเท่านั้นก่อนทัพ ‘ช้างศึก’ จะเข้าสู่โปรแกรมการแข่งขัน FIFA Day ทีมชาติไทยเตรียมลงป้องกันแชมป์ฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 51 ซึ่งปีที่แล้วเราเอาชนะทีมชาติซีเรียในนัดชิงชนะเลิศ 2-1 ที่สนามติณสูลานนท์ จังหวัดสงขลา สำหรับปีนี้จะลงเล่นกันที่สนามกีฬากลางจังหวัดกาญจนบุรี (กลีบบัว) คู่แข่งของเราในเกมแรกคือทีมชาติฟิจิ โดยจะแข่งขันในเวลา 20.00 น. ถ้าชนะก็จะเข้าไปชิงชนะเลิศกับผู้ชนะคู่แรกระหว่างทีมชาติอิรักหรือทีมชาติฮ่องกง ต้องบอกว่าความคาดหวังหนึ่งเดียวของเราคือ ‘แชมป์’ เท่านั้น 

วันนี้เราเลยจะมาพรีวิวทีมชาติไทยก่อนเริ่มศึกคิงส์คัพ 2025 กันสักหน่อย มาดูกันว่าความพร้อมตอนนี้เป็นอย่างไรกันบ้างและจะต่อยอดผลงานกันต่อได้อย่างไร 

‘แชมป์’ เท่านั้นเพื่อต่อยอดผลงานในเอเชียนคัพ 2027 รอบคัดเลือก 

ประเด็นแรกต้องทำความเข้าใจก่อนว่าทำไมเราถึงต้อง ‘เป็นแชมป์’ เท่านั้น เพราะก่อนหน้านี้ผลงานของไทยในเอเชียน คัพ รอบคัดเลือกรอบที่สามกลุ่ม D นัดที่สองค่อนข้างน่าผิดหวังเพราะบุกไปสะดุดแพ้ทีมชาติเติร์กเมนิสถานที่อันดับโลกต่ำกว่าเรา (อันดับ 143) 3-1 ซึ่งเอาจริงๆ แล้วถ้าไม่ชนะเราก็ไม่ควรต้องแพ้ อย่างน้อยต้องเสมอเก็บ 1 คะแนนกลับบ้านเพื่อความหวังในการเข้ารอบเอเชียน คัพ รอบสุดท้ายในปี 2027 ที่มีสล็อตว่างแค่แชมป์กลุ่มเท่านั้น  

โดยถ้ามาดูดีๆ แล้วรายชื่อทีมชาติไทยที่ มาซาทาดะ อิชิอิ เรียกมาในครั้งนี้คือชุดที่ดีที่สุดเท่าที่เรามีตอนนี้แล้วเพราะเป็นนักเตะที่กุนซือชาวญี่ปุ่นคุ้นเคยและคุ้นมือกันเป็นอย่างดีตลอดการทำหน้าที่ที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่ผู้รักษาประตู กัมพล ปฐมอรรฆย์กุล, ปฏิวัติ คำไหม และ สรานนท์ อนุอินทร์ ในขณะที่กองหลังมีหน้าใหม่มาหนึ่งคนคือ ณัฐพงษ์ สายริยา ส่วนที่เหลือเป็นคนที่เคยร่วมงานกันมาแล้วทั้ง ทรงวุฒิ ใคร่ครวญ, นิโคลัส มิคเกลสัน, ศุภนันท์ บุรีรัตน์, ศฤงคาร พรมสุภะ, สันติภาพ จันทร์หง่อม, สุพรรณ ทองสงค์ และ อภิสิทธิ์ โสรฎา ต่อกันที่กองกลางที่ต้องบอกว่าจัดเต็ม นำทัพมาโดย ชนาธิป สรงกระสินธ์ กัปตันทีม, เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์, เบนจามิน เดวิส, พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล, พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี, วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ, สุภโชค สารชาติ และ เอกนิษฐ์ ปัญญา ปิดท้ายด้วยกองหน้าสามคน ได้แก่ ธีรศักดิ์ เผยพิมาย, ปรเมศย์ อาจวิไล และ ศุภชัย ใจเด็ด 

จากรายชื่อที่ไล่เรียงมาอย่างน้อยผลงานที่เราต้องทำให้ได้คือเอาชนะทีมชาติฟิจิเพื่อเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศแล้วไปรอเจอทีมชาติอิรักที่ก็คาดว่าจะเอาชนะทีมชาติฮ่องกงได้ไม่ยาก ส่วนในนัดชิงชนะเลิศแม้จะต้องเจอกับอิรักที่อันดับโลกสูงกว่า (อันดับ 58) แต่สิ่งที่เราต้องคาดหวังก็คือการเป็นแชมป์เท่านั้น ต่อให้เอาชนะในเวลาไม่ได้อย่างน้อยก็ต้องเสมอเพื่อไปยิงจุดโทษตัดสิน เพราะนี่คือการรับมือทีมจากชาติตะวันออกกลางเพราะเราไปพลาดแพ้ทีมชาติเติร์กเมนิสถานที่อันดับต่ำกว่าเรามาก่อนหน้านี้ เพื่อเตรียมรับมือกับพวกเขาต่อในเกมที่บ้านเราช่วงเดือนมีนาคม 2026 ดังนั้นการคว้าแชมป์เท่านั้นที่จะเรียกขวัญและกำลังใจกลับคืนมาให้นักเตะและแฟนบอลได้สำเร็จ 

อย่างที่บอกไปว่าเป้าหมายเราคือ ‘แชมป์’ ตอนนี้เราต้องลืมความผิดพลาดและความผิดหวังกับผลงานที่พ่ายเติร์กเมนิสถานไปให้หมดแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานกันต่อในรายการนี้เพื่อให้ผลลัพธ์เป็นตามที่เราต้องการและต่อยอดในทัวร์นาเมนต์สำคัญของเราต่อไป สุดท้ายแฟนบอลทุกคนก็จะยังเป็นกำลังใจสำคัญของทีมชาติไทยเสมอ มาเป็นกำลังใจทัพ ‘ช้างศึก’ ให้เต็มสนามกันครับ 

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์