ในวงการฟุตบอลที่เต็มไปด้วยการแข่งขันมักมีเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเสมอ และยังมีเพียงไม่กี่ครั้งที่เราจะได้เห็นดาวรุ่งคนหนึ่งสามารถสร้างประวัติศาสตร์ได้ในชั่วข้ามคืน ล่าสุดก็คือ ริโอ เอ็นกูโมฮา ไอ้หนูนักเตะวัย 16 ปีของลิเวอร์พูลที่กลายเป็นหนึ่งตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของปรากฏการณ์นี้เมื่อเขาทำประตูชัยในช่วงต่อเวลาช่วยให้ทัพ ‘หงส์แดง’ เอาชนะนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด เมื่อคืนวันจันทร์ 3-2 นอกจากนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ทีมคว้าชัยชนะเขายังกลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูให้ลิเวอร์พูลได้ในประวัติศาสตร์

เติบโตในอีสต์ลอนดอนและพัฒนากับเชลซี
ริโอ เอ็นกูโมฮา เกิดและเติบโตในย่านนิวแฮมที่มีวัฒนธรรมหลากหลายในอีสต์ลอนดอนเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2008 จากนั้นเขาเดินตามเส้นทางที่คุ้นเคยสำหรับนักเตะรุ่นใหม่ที่อยู่ในลอนดอนโดยได้ใช้เวลาในระบบเยาวชนของสโมสรชั้นนำหลายแห่งก่อนที่จะตัดสินใจเลือกอยู่กับเชลซีในวัยเพียง 8 ขวบเมื่อปี 2016
แน่นอนว่าศูนย์ฝึกคอบแฮมของเชลซีได้รับการยอมรับมาอย่างยาวนานว่าเป็นหนึ่งในศูนย์พัฒนาเยาวชนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกฟุตบอล เอ็นกูโมฮาใช้เวลาในช่วงปีแรกๆ ที่สถาบันของเดอะบลูส์ซึ่งได้ผลิตแข้งพรสวรรค์อย่าง เมสัน เมาท์, รีซ เจมส์ และคัลลัม ฮัดสัน-โอดอยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในช่วงแปดปีที่นี่เอ็นกูโมฮาได้พัฒนาตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ ได้โชว์ความสามารถหลายอย่างแบบต่อเนื่องทั้งเรื่องความเร็วและทักษะที่ทำให้เขากลายเป็นดาวรุ่งที่ไปเตะตาทีมอย่างลิเวอร์พูล
คนวงในของเชลซีคนหนึ่งเคยบอกกับ The Athletic ว่า "โค้ชชอบทำงานกับริโอเพราะเขาเป็นเด็กดี รับฟังสิ่งที่โค้ชสอน เขาพยายามพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด"

การย้ายข้ามฟากสู่ลิเวอร์พูลที่ยังเป็นปัญหากับเชลซีถึงทุกวันนี้
หลังใช้เวลา 8 ปีกับระบบอะคาเดมี่ของเชลซีเมื่อเดือนกันยายน 2024 ริโอ เอ็นกูโมฮา เลือกย้ายมาอยู่กับลิเวอร์พูลซึ่งเป็นการย้ายทีมที่ก่อให้เกิดการต่อสู้ทางกฎหมายที่ยังคงดำเนินมาจนถึงปัจจุบัน โดยฝั่งหงส์แดงได้ติดตามฟอร์มของไอ้หนูรายนี้มาอย่างยาวนานและต่อเนื่อง สุดท้ายเอ็นกูโมฮาเปิดใจและตัดสินใจย้ายข้ามฟากมาอยู่กับทีมดังเมอร์ซีย์ไซด์
การตัดสินใจนี้สร้างความขัดแย้งระหว่างสองสโมสรยักษ์ใหญ่เนื่องจากเชลซีเรียกร้องค่าชดเชยสำหรับการพัฒนาเขามาตลอด 8 ปีในหลายๆ เรื่องทั้งการฝึกสอน สิ่งอํานวยความสะดวกและโอกาสทางการศึกษา แต่สุดท้ายพวกเขากลับเสียเด็กคนนี้ไปให้กับคู่แข่งคนสำคัญ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการตัดสินใดๆ ในขณะที่ฝั่งลิเวอร์พูลมั่นใจว่าการดึงตัวดาวรุ่งรายนี้พวกเขาได้ทำทุกอย่างอย่างถูกต้องตามกฎระเบียบ

ช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ที่เซนต์ เจมส์ พาร์ค
หลังจากย้ายมาร่วมทัพ ‘หงส์แดง’ เอ็นกูโมฮาปรับตัวและโชว์ศักยภาพออกมาได้อย่างต่อเนื่องจนทางด้าน อาร์เนอ สล็อต ให้โอกาสเขาขึ้นมาร่วมฝึกซ้อมกับทีมชุดใหญ่ ก่อนที่จะได้รับโอกาสลงสนามในเกมคาราบาว คัพ และ เอฟเอ คัพ โดยเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2025 เขากลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ลิเวอร์พูลที่ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมเอฟเอ คัพซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของช่วงเวลาสำคัญของเขากับทีม
ในที่สุดเมื่อคืนวันจันทร์ในเกมพรีเมียร์ลีกสุดดราม่าที่ลิเวอร์พูลเฉือนชนะนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด 3-2 เจ้าหนูเอ็นกูโมฮาก็ได้สร้างประวัติศาสตร์เมื่อเขาลงสนามมาในนาทีที่ 96 ในสถานการณ์ที่หงส์แดงต้องการประตูชัยหลังจากโดนฝั่งเจ้าบ้านที่เหลือ 10 คนไล่ตีเสมอ แถมบรรยากาศในเซนต์ เจมส์ พาร์คยังพาให้คิดได้ว่าพวกเขาอาจจะแซงชนะอดีตแชมป์ซีซันที่ผ่านมาได้ด้วย
เกมผ่านมาถึงนาทีที่ 100 ไอ้หนูวัย 16 ย่าง 17 ปีรายนี้ที่ลงมาอยู่ในสนามได้ราวๆ 4 นาทีก็กลายเป็นฮีโร่ของแฟนบอลเดอะ ค็อป เมื่อทาง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่อยู่บริเวณกรอบเขตโทษด้านขวาเปิดบอลเข้ามาด้านในซึ่งคนแรกที่มีสิทธิ์ถึงบอลก่อนคือ โดมินิค โซบอสซ์ไล แต่แข้งรุ่นพี่เลือกปล่อยบอลลอดขามาถึงบริเวณเสาไกลซึ่งเอ็นกูโมฮาวิ่งเข้ามาอยู่ในจุดที่ถูกต้อง ก่อนจะวางเท้าแล้วซัดด้วยเท้าขวาย้อนทางกลับไปเสาแรกและตุงตาข่ายแบบที่ นิค โป๊ป ผู้รักษาประตูเจ้าบ้านได้แต่เซฟด้วยสายตา
ในวัย 16 ปี 361 วัน เอ็นกูโมฮากลายเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ทำประตูให้ลิเวอร์พูลโดยทำลายสถิติเดิมของเบน วูดเบิร์น ที่ยิงใส่ลีดส์ ยูไนเต็ด ในเดือนพฤศจิกายน 2016 เมื่ออายุ 17 ปี 45 วัน นอกจากนี้ประตูของเอ็นกูโมฮายังสร้างอีกหนึ่งประวัติศาสตร์ของลิเวอร์พูลคือการทำประตูในนาทีที่ 100 คือประตูชัยที่ช้าที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกของสโมสร เหนือลูกยิงของดาร์วิน นูนเญซ อดีตกองหน้าของพวกเขาที่ยิงใส่น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ เมื่อเดือนมีนาคม 2024 ไปหนึ่งนาทีเต็ม

อนาคตที่น่าจับตามองของเอ็นกูโมฮา
ประตูชัยสุดสำคัญของลิเวอร์พูลเมื่อคืนวันจันทร์จากเจ้าหนู ริโอ เอ็นกูโมฮา แสดงให้เห็นว่าเขาพร้อมที่จะเป็นกำลังสำคัญในอนาคตของทัพ ‘หงส์แดง’ นอกจากนี้นี่ยังเป็นเหตุการณ์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กและเยาวชนทั่วโลกด้วยว่าหากมีความมุ่งมั่นพร้อมการทำงานหนักและโอกาสที่เหมาะสมมาถึงคุณก็มีสิทธิ์ก้าวขึ้นมาเป็นแข้งระดับโลกได้ และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของแข้งวัยรุ่นรายนี้ที่จะอายุครบ 17 ปีในอีกไม่นาน มารอดูกันว่าอนาคตของเขาจะไปสุดที่ตรงไหน เวลาเท่านั้นคือเครื่องพิสูจน์