เสียงสะท้อนในเวทีระดับผู้นำที่ร่วมขับเคลื่อน “เศรษฐกิจสีเขียว” สู่ความมั่นคงด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนได้เกิดขึ้นแล้วในการประชุมสุดยอด 10 ชาติสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ครั้งที่ 46 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 26-27 พฤษภาคม ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยมีผู้นำจากประเทศสมาชิกอาเซียน พร้อมด้วยเลขาธิการอาเซียน และนายกรัฐมนตรีติมอร์-เลสเต ในฐานะผู้สังเกตการณ์เข้าร่วม ภายใต้แนวคิด “การมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึงและความยั่งยืน” (Inclusivity and Sustainability)
สำหรับสาระสำคัญในการประชุมครั้งนี้ คือการที่ผู้นำอาเซียนได้ร่วมกันรับรองวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ปี 2045 (ASEAN Community Vision 2045) ซึ่งจะใช้ขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนในอีก 20 ปีข้างหน้า โดยหนึ่งในวาระสำคัญคือการผลักดันการรวมกลุ่มในภูมิภาค เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจและการค้า หลังต้องเผชิญความท้าทายจากภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ และวิกฤตในเมียนมาที่ยังยืดเยื้อ บรรยากาศของการประชุมครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็น “การผนึกกำลังอาเซียน” อย่างจริงจังเพื่อรับมือกับภูมิทัศน์โลกที่เปลี่ยนแปลง

ผนึกกำลังอาเซียนรับมือปัญหารอบด้าน
ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้กล่าวเปิดการประชุม โดยเรียกร้องให้สมาชิกร่วมมือกันเพื่อรักษาสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาค โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของระเบียบระหว่างประเทศที่ยึดมั่นในกฎเกณฑ์
อาเซียนแสดงความกังวลต่อ “มาตรการภาษีศุลกากรฝ่ายเดียว” โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเรียกเก็บภาษีกับหลายประเทศในภูมิภาค ตั้งแต่ 10% ถึง 49% โดยเฉพาะกัมพูชา ลาว และเวียดนาม ที่ได้รับผลกระทบหนักสุด ขณะที่ไทยถูกเก็บภาษีในอัตรา 36%
เอนริเก มานาโล รัฐมนตรีต่างประเทศฟิลิปปินส์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อาเซียนต้องผนึกกำลังกันเพื่อจัดการปัญหาข้อพิพาทในทะเลจีนใต้ และวิกฤตในเมียนมา พร้อมส่งเสริมการเจรจาอย่างครอบคลุมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

ท่าทีของไทยในการขับเคลื่อนอาเซียนสีเขียว
แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย กล่าวถ้อยแถลงที่เน้นย้ำถึงการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของอาเซียน โดยเรียกร้องให้ภูมิภาคร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในการสร้างเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานแบบครบวงจร พัฒนา MSMEs และใช้ประโยชน์จากความตกลงทางการค้าอย่างเต็มศักยภาพ
พร้อมกล่าวถึงบทบาทของประเทศไทยในฐานะผู้ประสานงานด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่พร้อมจะขับเคลื่อน “อาเซียนสีเขียว” ผ่านการผลักดันการเงินสีเขียว พลังงานสะอาด และการเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัล
นายกฯ ไทยหนุน DEFA ดันเศรษฐกิจดิจิทัลเพื่อความยั่งยืน
หนึ่งในข้อเสนอสำคัญจากประเทศไทย คือการเร่งจัดทำกรอบความร่วมมือเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy Framework Agreement: DEFA) ให้แล้วเสร็จภายในปี 2568 เพื่อ “ปลดล็อกโอกาสการเติบโตใหม่” ของภูมิภาค โดยเฉพาะในบริบทที่เศรษฐกิจดิจิทัลกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน
นายกรัฐมนตรีไทยยังกล่าวว่า อาเซียนต้องส่งเสริมกลไกการเจรจาทั้งภายในและภายนอกภูมิภาคอย่างตรงไปตรงมา สร้างสรรค์ และมุ่งเน้นที่ผลประโยชน์ของประชาชน เพื่อให้เกิดการบูรณาการที่มีประสิทธิภาพในระยะยาว

ความมั่นคงของมนุษย์ และการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ในช่วงท้ายของถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรีไทยเน้นย้ำว่า “ประชาคมอาเซียนต้องยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง” โดยเฉพาะในด้านความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งครอบคลุมทั้งสุขภาพและระบบสาธารณสุข ความมั่นคงทางอาหาร การปราบปรามยาเสพติด อาชญากรรมไซเบอร์ รวมทั้งการรับมือภัยพิบัติและหมอกควันข้ามพรมแดน พร้อมเสนอว่าอาเซียนควรเร่งสร้างเครื่องยนต์ขับเคลื่อนร่วม เช่น การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานข้ามพรมแดน เพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
ASEAN 2045 วิสัยทัศน์ที่เชื่อมโยงสิ่งแวดล้อมกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs)
รายงาน ASEAN 2045: Our Shared Future ที่ได้รับการรับรองในการประชุมครั้งนี้ กำหนดวิสัยทัศน์ “อาเซียนที่มีความเข้มแข็ง นวัตกรรม พลังสร้างสรรค์ และประชาชนเป็นศูนย์กลาง” โดยให้ “ความยั่งยืน” เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนประชาคมทั้ง 3 เสาหลัก คือ การเมือง-ความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม-วัฒนธรรม
ภายใต้แผนดังกล่าว อาเซียนมุ่งสู่การเป็น “ภูมิภาคสีเขียว” ด้วยการนำแนวคิด เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) และ เศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy) มาประยุกต์ใช้ในเชิงยุทธศาสตร์ โดยมีนโยบายที่หลากหลาย ได้แก่ การส่งเสริมพลังงานหมุนเวียน การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการสร้างภูมิคุ้มกันต่อภัยพิบัติและโรคระบาด
นอกจากนี้ ยังมีการระบุถึงความจำเป็นในการพัฒนาทักษะสีเขียว (Green Skills) เพื่อรองรับตลาดแรงงานแห่งอนาคต (Green Jobs) ผ่านการศึกษาและอาชีวะ สนับสนุนกลไกทางการเงินที่ยั่งยืน เช่น ตลาดคาร์บอน และการเงินสีเขียว เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ รวมถึงแนวคิดสร้างเมืองและชนบทที่ปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนในทุกมิติของการพัฒนา
ประเด็นที่น่าสนใจอื่นๆ
จุดยืนต่อเมียนมา: อาเซียนออกแถลงการณ์ร่วมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายในเมียนมายุติการใช้ความรุนแรง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม แม้จะย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างความไว้วางใจและการเจรจาอย่างยั่งยืน แต่การดำเนินการยังคงจำกัดอยู่ในกรอบของฉันทามติ 5 ข้อ (Five-point Consensus) ที่รัฐบาลทหารเมียนมาไม่ได้ยึดถืออย่างจริงจัง
ความร่วมมือ 3 ทางกับ GCC และจีน: การประชุมครั้งนี้ยังมีมิติของความร่วมมือสามฝ่ายระหว่างอาเซียน กลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ (GCC) และจีน โดยนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เน้นว่าการเชื่อมโยงกับ GCC มีความสำคัญต่อการสร้างเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่น ทางด้าน เจ้าชายไฟซาล บิน ฟาร์ฮาน จากซาอุดีอาระเบีย เปิดเผยว่า มูลค่าการค้าระหว่าง GCC กับอาเซียนเพิ่มขึ้น 21% สู่ระดับ 123,000 ล้านดอลลาร์ ในปี 2567 ขณะที่นายกรัฐมนตรีจีน หลี่ เฉียง กล่าวว่า ความร่วมมือดังกล่าวจะส่งเสริมทั้งเศรษฐกิจและสันติภาพของภูมิภาค
ความพยายามของ ‘ติมอร์-เลสเต’ เป็นผล: การประชุมครั้งนี้ยังมีการยืนยันว่า ติมอร์-เลสเต จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกลำดับที่ 11 ของอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบในการประชุมเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ โดยประธานาธิบดีโฮเซ รามอส-ออร์ตา ได้กล่าวขอบคุณต่อความพยายามร่วมของผู้นำอาเซียนทุกฝ่าย

ก้าวใหม่ของอาเซียนในศตวรรษที่ 21
แม้ภูมิภาคนี้ยังต้องเผชิญความเหลื่อมล้ำและความท้าทายในการบูรณาการนโยบายระหว่างประเทศสมาชิก แต่ “ASEAN 2045” ถือเป็นกรอบความร่วมมือระยะยาวที่มีความชัดเจน และสะท้อนถึงความตั้งใจของอาเซียนในการตอบสนองต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเข้มแข็ง เป็นระบบ และยั่งยืน
พร้อมสะท้อนบทบาทนำของไทยในการผลักดันวาระ “อาเซียนสีเขียว” ที่ไม่เพียงแต่เป็นก้าวสำคัญของนโยบายต่างประเทศ แต่ยังเป็นสะพานเชื่อมระหว่างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และความเป็นอยู่ของผู้คนในภูมิภาค เพื่อร่วมสร้าง “อาเซียนแห่งอนาคต” ที่เติบโตอย่างสมดุล แข่งขันได้ และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง