บทวิเคราะห์: พายุ “วิภา” (อีก)บททดสอบครั้งใหญ่ของไทยในยุควิกฤตสภาพภูมิอากาศ

21 ก.ค. 2568 - 05:21

  • มาแน่ “พายุวิภา” จ่อพัดภาคเหนือตอนบน น่าน-เชียงราย-พะเยา เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน รัฐพร้อมอพยพกลุ่มเปราะบาง-เปิดศูนย์พักพิงฉุกเฉิน

  • นักวิชาการวิเคราะห์ 4 สาเหตุที่น้ำท่วมหนักในภาคเหนือซ้ำซ้อนและรุนแรงขึ้น เพราะเขาหัวโล้น-ฝนตกหนักกว่าปกติ-ลานีญาอ่อน-การขยายตัวของเมือง

  • ภาคใต้ไม่รอดอิทธิพลพายุ คลื่นสูง–เรืออับปาง–ต้นไม้โค่นคร่าชีวิต เตือนเรือเล็กงดออกจากฝั่ง

บทวิเคราะห์: พายุ “วิภา” (อีก)บททดสอบครั้งใหญ่ของไทยในยุควิกฤตสภาพภูมิอากาศ

ในช่วงวันที่ 22-24 กรกฎาคม 2568 ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการคุกคามของ “พายุวิภา” ซึ่งมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ทั้งในเชิงอุตุนิยมวิทยา รวมถึงผลกระทบทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม พายุลูกนี้ไม่ใช่แค่เพียงระบบหมุนเวียนของลมและฝน หากแต่เป็นสัญญาณสะท้อนถึงปัญหาความเปราะบางของระบบนิเวศไทยในยุคการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

จากการพยากรณ์ของศูนย์อุตุนิยมวิทยาไทยและต่างประเทศ รวมถึงการวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำและสิ่งแวดล้อม มีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกันว่า “พายุวิภา” จะมีผลกระทบต่อพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนอย่างรุนแรง โดยเฉพาะจังหวัดน่าน เชียงราย พะเยา และอุดรธานี ขณะเดียวกันก็เป็นบททดสอบสำคัญต่อระบบการจัดการภัยพิบัติของประเทศ

ภาพอัปเดทสถานการณ์และเส้นทางพายุโซนร้อนกำลังแรง วิภา(WIPHA) จากกรมอุตุนิยมวิทยา
ภาพอัปเดทสถานการณ์และเส้นทางพายุโซนร้อนกำลังแรง วิภา(WIPHA) จากกรมอุตุนิยมวิทยา

ล่าสุด กรมอุตุนิยมวิทยา อัปเดตเส้นทางแห่งแรงลมและฝนพายุ “วิภา” หรือ Wipha พายุลูกที่ 6 ของฤดูกาลในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ซึ่งถูกตั้งชื่อที่ประเทศไทยเสนอ หมายถึง “ชื่อของผู้หญิง” ปัจจุบันกำลังก่อตัวและขยายตัวอย่างรวดเร็ว ขณะที่วานนี้พัดถล่มเวียดนาม ทำให้เรือท่องเที่ยวล่มที่ฮาลองเบย์  มีนักท่องเที่ยวเสียชีวิตหลายราย และล่าสุดพัดเข้าถล่มฮ่องกง จนมีการยกระดับเตือนภัยสูงสุดระดับ 10 ครั้งแรก ในรอบ 2 ปี โดยเที่ยวบินกว่า 500 เที่ยวถูกยกเลิก รถไฟ-เรือหยุดวิ่ง คลื่นสูง 3 เมตรและน้ำท่วมฉับพลัน และทางการสั่งประชาชนหลบภัยด่วน พร้อมคาดว่าพายุเคลื่อนไปเวียดนาม 22 ก.ค.นี้ ผลร้ายนี้เป็นเครื่องย้ำเตือนถึงความเปราะบางของชุมชนชายฝั่งและเกาะต่างๆ ที่ต้องเผชิญกับพายุที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ภาพอัปเดทสถานการณ์และเส้นทางพายุโซนร้อนกำลังแรง วิภา(WIPHA) จากกรมอุตุนิยมวิทยา
ภาพอัปเดทสถานการณ์และเส้นทางพายุโซนร้อนกำลังแรง วิภา(WIPHA) จากกรมอุตุนิยมวิทยา

สำหรับเส้นทางที่คาดการณ์ “พายุวิภา” จะเคลื่อนตัวทางตะวันตกตามแนวชายฝั่งประเทศจีน เข้าสู่อ่าวตังเกี๋ย คาดว่าจะขึ้นฝั่งบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ในเช้าวันพรุ่งนี้ (22/7/68) และจะอ่อนกำลังลงตามลำดับ  

โดยกรมอุตุนิยมวิทยายืนยันว่า แม้พายุนี้จะกลายเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำเมื่อใกล้เข้าสู่ประเทศไทยแล้วก็ตาม แต่จะส่งผลกระทบทำให้มีฝนตกหนักถึงหนักมากในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสานตอนบน ภาคกลางด้านตะวันตก ต้องระวังฝนตกหนัก ฝนตกสะสม อาจทำให้เกิดสภาวะน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลากได้ในพื้นที่ดังกล่าว

โดยเฉพาะช่วง 22-24 ก.ค.68 ต้องเตรียมการรับมือและเตรียมความพร้อมหากจำเป็นต้องอพยพ รวมทั้งอาจมีลมแรงหลายพื้นที่ และคลื่นลมมีกำลังแรง โดยตั้งแต่วันนี้-25 ก.ค.68  ชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระวัง คลื่นลมแรง เรือเล็กงดออกจากฝั่งโดยเด็ดขาด พร้อมติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด

ภาคเหนือรับมือวิกฤตซ้ำซ้อน

ปรากฏการณ์ธรรมชาติ หรือวิกฤตจากมนุษย์?


ในขณะที่ภัยธรรมชาติเข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คำถามที่ควรตั้งคือ “เหตุใดน้ำท่วมในภาคเหนือจึงทวีความรุนแรงในทุกปี?”

ประเด็นนี้ ดร.สนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Sonthi Kotchawat วิเคราะห์สาเหตุที่น้ำท่วมหนักในภาคเหนือในช่วงนี้ว่ามาจาก 4 สาเหตุหลัก ประกอบด้วย

ภาคเหนือ มีพื้นที่ป่าไม้มากที่สุด แต่ถูกทำลายมากที่สุด
ภาคเหนือ มีพื้นที่ป่าไม้มากที่สุด แต่ถูกทำลายมากที่สุด

1. ป่าไม้ถูกทำลายและมีเขาหัวโล้นจำนวนมาก

ภาคเหนือ มีพื้นที่ป่าไม้มากที่สุดในปี 2567 ถึง 63.24% ของสัดส่วนพื้นที่ในภูมิภาคหรือจำนวน 37,976,519.37 ไร่ แต่ถูกทำลายมากที่สุดโดยมีป่าไม้ ลดลงจากปี 2565 ถึง 171,143.04 ไร่ และลดลงจากปี 2566 ถึง 29,883.91 ไร่ นอกจากนี้ ยังเป็นเขาหัวโล้นและบางแห่งปลูกพืชเชิงเดี่ยว เช่น ข้าวโพดถึง 8.0 ล้านกว่าไร่ โดยจังหวัดน่านมีเขาหัวโล้นมากที่สุดประมาณ 1.8 ล้านไร่ เมื่อฝนตกลงมาไม่มีต้นไม้ขนาดใหญ่ดูดซับน้ำไว้ จึงทำให้น้ำไหลลงสู่ที่ราบอย่างรวดเร็วและรุนแรง

2.ฝนตกหนักมากกว่าปกติ

ช่วงนี้มีร่องมรสุมความกดอากาศต่ำพาดผ่านภาคเหนือตอนบน และ สปป. ลาว ขณะที่ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดจากอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังค่อนข้างแรงพัดขึ้นไปโดยหอบเอาความชื้นจากทะเลไปปะทะกับร่องมรสุมที่พาดผ่านภาคเหนือ จึงทำให้เกิดฝนตกหนัก นอกจากนี้ การที่โลกร้อนขึ้นทุกปีทำให้มีความชื้นในบรรยากาศมากขึ้นโดยฝนจะตกเพิ่มขึ้นถึง 5% ในแต่ละครั้งเกิดฝนตกหนักและต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำและลำคลองสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

3. ปรากฏการณ์ลานีญาอ่อนๆ เข้ามาเสริม

ปรากฏการณ์ช่วงปลายของภาวะลานีญาของปีนี้ ทำให้เกิดฝนตกหนักมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ภาคเหนือมีปริมาณน้ำฝนมากกว่าปกติ

4.การขยายตัวของเมือง

การขยายตัวของเมืองและการพัฒนาพื้นที่รอบนอก ทำให้พื้นที่ราบลุ่มที่เคยเป็นที่รองรับน้ำถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่อยู่อาศัย ส่งผลให้การระบายน้ำไม่มีประสิทธิภาพ และเกิดน้ำท่วมได้ง่ายขึ้น

“เมื่อเกิดฝนตกหนัก น้ำที่ไหลจาก ภูเขาสูง รวมทั้งภูเขาหัวโล้นที่อยู่รอบๆ ตัวเมืองจะไหลลงสู่พื้นที่ราบอย่างรวด เร็วและรุนแรงลงสู่พื้นที่ราบพัดพาดินโคนลงมาพร้อมกับน้ำด้วย จึงเห็นน้ำมีสีแดงขุ่นไหลลงท่วมบ้านเรือนที่อยู่ในพื้น ที่ราบก่อนจะสู่ลงลำน้ำสาขาต่างๆ หากลำน้ำทั้งหลายตื้นเขินหรือถูกบุกรุกโดยสร้างสิ่งก่อสร้างรุกล้ำ จะทำให้น้ำไหลไม่สะดวกและท่วมพื้นที่รอบข้างได้อย่างรวดเร็ว จังหวัดที่ถูกน้ำท่วมหนัก มากในช่วงนี้ คือจังหวัด น่าน เชียงราย เชียงใหม่  ลำปาง  อุตรดิตถ์ เป็นต้น”

ดร.สนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย ระบุ

แนวรับภาคสนาม

เชียงใหม่ เชียงราย เตรียมแผนฉุกเฉิน

เชียงใหม่และเชียงราย ซึ่งเป็นแนวรับด้านตะวันตกและตะวันออกของพายุ ได้เร่งดำเนินการขุดลอกลำน้ำ เช่น แม่น้ำปิง และแม่น้ำกก จัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวกว่า 50 แห่ง และเปิดศูนย์บัญชาการภัยพิบัติเพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน ในขณะเดียวกัน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ลำปาง และอุตรดิตถ์ ก็เร่งตรวจสอบคันกั้นน้ำ จุดอ่อนของประตูระบายน้ำ และจัดเตรียมเส้นทางอพยพสำหรับกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยติดเตียง

ทางด้านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ส่งเฮลิคอปเตอร์ KA-32 และทีมกู้ภัยไปประจำการในภาคเหนือ พร้อมกับจัดส่งอุปกรณ์ช่วยเหลือเร่งด่วน เช่น เรือท้องแบนและเครื่องสูบน้ำไปยังศูนย์ ปภ. เขต 9 จ.พิษณุโลก เพื่อเตรียมพร้อมเข้าช่วยเหลือได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ

ภาคใต้และชายฝั่งทะเล

ความเปราะบางจากทะเลและการท่องเที่ยว

พายุวิภายังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคใต้ โดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ตที่เผชิญคลื่นลมแรง เรือเครื่องยนต์เสียกลางทะเล และอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับต้นไม้ล้มจากลมแรง รวมถึงเหตุสลดที่นักท่องเที่ยวเสียชีวิตจากต้นไม้โค่นลงมาทับ

สำนักงานเจ้าท่าประกาศงดเดินเรือเล็ก และเฝ้าระวังคลื่นทะเลสูงถึง 3 เมตร ขณะที่เจ้าหน้าที่เร่งสำรวจจุดเสี่ยงและเตรียมศูนย์อพยพในพื้นที่ชายฝั่งที่อาจได้รับผลกระทบจากพายุซ้ำซ้อน

sustainability-storm-wipha-a-major-test-for-thailand-amid-the-climate-crisis-SPACEBAR-Photo04.jpg

“วิภา” ภัยพิบัติ หรือสัญญาณเตือนให้ “สร้างภูมิคุ้มกัน” อย่างยั่งยืน?

เรามั่นใจว่า “พายุวิภา” จะไม่ใช่พายุลูกสุดท้าย และไม่ใช่ปรากฏการณ์สุดวิสัยที่ควบคุมไม่ได้เสมอไป หากแต่เรื่องนี้จะสะท้อนถึงการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ยังไม่ยั่งยืน ป่าไม้ที่หายไป เขาหัวโล้น การพัฒนาเมืองอย่างไร้แผน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ล้วนเป็นผลผลิตของการตัดสินใจของมนุษย์

ดังนั้น นอกจากการรับมือกับพายุในระยะสั้นแล้ว ประเทศไทยจำเป็นต้องวางรากฐานระยะยาวเพื่อ “อยู่กับน้ำ” อย่างมีภูมิคุ้มกัน ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นฟูป่าไม้ การวางผังเมืองใหม่ที่รองรับภัยพิบัติ และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจัดการสิ่งแวดล้อม

ในโลกที่พายุลูกใหม่กำลังก่อตัวขึ้นในทุกสัปดาห์ “วิภา” คือสัญญาณเตือนว่าเราควรเร่งทำความเข้าใจธรรมชาติ ก่อนที่ธรรมชาติจะทำให้เราต้องเรียนรู้ด้วยความเจ็บปวด

ทั้งนี้ แนะนำให้ประชาชนติดตามประกาศพยากรณ์อากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา และแจ้งเตือนภัยจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอย่างใกล้ชิด ผ่านสายด่วน 1182 และระบบ Cell Broadcast

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์