งานวิจัยใหม่พบคนดื่มน้ำจากขวดพลาสติกเป็นประจำกลืนไมโครพลาสติกมากกว่าคนทั่วไป 90,000 ชิ้นต่อปี

1 พ.ย. 2568 - 04:21

  • งานวิจัยจากแคนาดาพบ ผู้ที่ดื่มน้ำจากขวดพลาสติกเป็นประจำกลืนไมโครพลาสติกมากกว่าคนทั่วไปถึง 90,000 ชิ้นต่อปี

  • นักวิทยาศาสตร์เตือนไมโครพลาสติกสามารถสะสมในหัวใจ ปอด ตับ ไต และแม้แต่รกของมนุษย์

  • ปัญหาพลาสติกใช้ครั้งเดียวกำลังบั่นทอนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และการบริโภคอย่างมีความรับผิดชอบ

งานวิจัยใหม่พบคนดื่มน้ำจากขวดพลาสติกเป็นประจำกลืนไมโครพลาสติกมากกว่าคนทั่วไป 90,000 ชิ้นต่อปี

โลกยุคใหม่นอกจากความศิวิไลซ์และไอที ยังมี “ไมโครพลาสติก” ที่ปะปนอยู่ในธรรมชาติโดยสั่งสมมาตั้งแต่คนรุ่นก่อนหน้า แต่มาส่งผลกระทบหนักที่รุ่นเรา เพราะความสะดวกสบายจากพฤติกรรมการใช้พลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง หรือ Single-use Plastic

การปรากฏตัวของไมโครพลาสติกในยุคเรา อาจเป็นเพียง “เศษเสี้ยว” จากพลาสติกที่ถูกทิ้ง เพราะโพลิเมอร์สังเคราะห์เหล่านี้ใช้เวลาในการย่อยสลายนานหลักร้อยถึงพันปี อย่าง PET ใช้เวลาย่อยสลาย 450 ปี ส่วน PVC อาจใช้เวลาย่อยสลายกว่า 1,000 ปีในขณะที่เราใช้ถุงพลาสติกโดยเฉลี่ยเพียง 12 นาทีเท่านั้น

หากเจาะแค่ในประเทศไทย กรมทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง พบการปนเปื้อนของไมโครพลาสติกในตะกอนดินบริเวณอ่าวไทยตอนล่าง นั่นแปลว่า “มันอยู่บนดินที่เราเหยียบ”

ผลการสุ่มตรวจปลาทูของทะเลไทย โดยศูนย์ปฏิบัติการอุทยานแห่งชาติทางทะเล ที่ 3 จ.ตรัง พบไมโครพลาสติกในกระเพาะของปลาทู เฉลี่ย 78 ชิ้นต่อตัว นั่นแปลว่า “มันอยู่ในกระเพาะอาหารเมื่อเรากิน”

จะว่าไปเรื่องนี้ไทยก็ทัดเทียมนานาประเทศ เพราะ อิตาลี พบไมโครพลาสติกในผลไม้และผักบางชนิด เช่น แอปเปิล ลูกแพร์ บร็อกโคลี และแครอท ส่วน สหราชอาณาจักร เจอในหอยแมลงภู่ที่ขายในซูเปอร์มาร์เก็ต

sustainability-new-research-reveals-whats-really-hiding-in-bottled-water-SPACEBAR-Photo01.jpg

ไม่ใช่แค่ในธรรมชาติหรือแทรกซึมในอาหาร แต่น่าตกใจยิ่งกว่า เมื่อล่าสุดงานวิจัยใหม่จากมหาวิทยาลัยคองคอร์เดีย ประเทศแคนาดา กำลังส่งสัญญาณเตือนดังๆ ถึงผลกระทบที่มองไม่เห็นจากนิสัยประจำวันของผู้บริโภค นั่นคือการดื่มน้ำจาก “ขวดพลาสติก”

ทีมวิจัยวิเคราะห์งานศึกษากว่า 140 ชิ้นทั่วโลก และพบว่าโดยเฉลี่ยมนุษย์เรากลืนไมโครพลาสติกตั้งแต่ 39,000–52,000 ชิ้นต่อปี แต่สำหรับผู้ที่ดื่มน้ำจากขวดพลาสติกใช้ครั้งเดียวเป็นประจำ ตัวเลขดังกล่าวพุ่งสูงเพิ่มอีก 90,000 ชิ้นต่อปี เมื่อเทียบกับผู้ที่ดื่มน้ำประปา

ซาราห์ ซาเจดี ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและหัวหน้านักวิจัยครั้งนี้ กล่าวว่า การดื่มน้ำจากขวดพลาสติกอาจปลอดภัยในสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ไม่ควรดื่มเป็นกิจวัตร เพราะมันคือแหล่งสะสมของไมโครพลาสติกโดยตรง

ไมโครพลาสติกเหล่านี้เกิดจากการเสื่อมสลายของผิวขวด โดยเฉพาะเมื่อถูกความร้อนหรือแรงบีบ อนุภาคขนาดเล็กจึงหลุดลงสู่น้ำและเข้าสู่ร่างกายผู้บริโภคโดยไม่รู้ตัว

น้ำดื่มบรรจุขวดแชมป์เครื่องดื่มยอดนิยม

ในปี 2024 น้ำดื่มบรรจุขวดยังคงเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมอันดับหนึ่งในสหรัฐฯ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 ติดต่อกัน โดยมีการบริโภครวมกว่า 162,000 ล้านแกลลอน เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเพียงพอที่จะเติมน้ำเต็มสระว่ายน้ำโอลิมปิกได้มากกว่า 24,000 สระ!!

microplastics-human-brain-research-health-effects.jpeg
Microplastics are everywhere, but data is still lacking about how they could be affecting our brains

แม้นักวิทยาศาสตร์ยังไม่อาจฟันธงชัดเจนว่าไมโครพลาสติกส่งผลต่อสุขภาพมนุษย์ 100% ตรงไหนบ้าง แต่มีหลักฐานเพิ่มขึ้นว่าอนุภาคเล็กๆ จากไมโครพลาสติกสามารถซึมเข้าสู่กระแสเลือดและสะสม รวมทั้งในอวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ ปอด ตับ ไต อัณฑะ หรือแม้แต่ในรกของมนุษย์ เนื่องจากขนาดของมันเล็กพอจะทะลุแนว Blood-brain barrier ได้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่สารส่วนใหญ่ไม่สามารถผ่านเข้าไปได้

ผลการศึกษาในสัตว์ทดลองและเซลล์มนุษย์ยังชี้ว่า ไมโครพลาสติกอาจก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง การทำลายเซลล์ การรบกวนฮอร์โมน และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง หัวใจ ปอด และภาวะมีบุตรยาก

ซาเจดี เรียกร้องให้มีมาตรฐานการตรวจวัดไมโครพลาสติกในผลิตภัณฑ์ เช่น น้ำดื่มบรรจุขวด และผลักดันนโยบายเพื่อลดการปนเปื้อนพลาสติกในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม โดยย้ำว่า “ปัญหานี้ไม่ใช่พิษเฉียบพลัน แต่คือพิษเรื้อรังที่สะสมในร่างกายและระบบนิเวศ”

sustainability-glass-or-plastic-which-contains-more-microplastics-SPACEBAR-Photo01.jpg

ทางด้านสมาคมน้ำดื่มบรรจุขวดนานาชาติ (International Bottled Water Association) ตอบรับกระแสความกังวล โดยระบุว่าอุตสาหกรรมพร้อมสนับสนุนการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์

พลาสติกใช้ครั้งเดียวและสิ่งแวดล้อม

ในมุมสิ่งแวดล้อม ปัญหานี้สะท้อนให้เห็นความเชื่อมโยงโดยตรงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) โดยเฉพาะเป้าหมายที่ 3: สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี, เป้าหมายที่ 12: การบริโภคและการผลิตอย่างยั่งยืน และ เป้าหมายที่ 14: ทรัพยากรทางทะเล

ทั้งนี้ นักวิชาการด้านความยั่งยืนเตือนว่า หากไม่ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว โลกอาจเผชิญ “วิกฤตพลาสติกในร่างกายมนุษย์” ควบคู่กับ “วิกฤตขยะในมหาสมุทร” และนั่นหมายความว่า “ความยั่งยืน” อาจไม่ใช่แค่เรื่องของสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป แต่คือซึมลึกในเรื่องของสุขภาพมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้อย่างแยกจากกันไม่ได้

การก้าวข้ามปัญหาเรื่องมลพิษจากไมโครพลาสติกในระดับโลก เหมือนยังวนในอ่างจากุชชี่ (ขอหรูหน่อย) ผลการเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลก ครั้งแล้วครั้งเล่านานาประเทศยังเสียงแตก และการเจรจายังหาข้อสรุปไม่ได้

the_countries_where_people_unwittingly_eat_inhale_the_most_microplastics_SPACEBAR.jpg

หากหวังพึ่งความร่วมมือระหว่างนานาชาติ เราอาจลงเอยด้วยการกลืนไมโครพลาสติกมากขึ้นในอนาคต แต่ถ้าเริ่มที่ตัวเรา ขยายไปในครอบครัว ก่อตัวในชุมชน ผลอาจออกมาสวยหรูกว่า เราจึงอยากชวนทุกคนลองคิดใหม่ ทำใหม่  ตามแนวคิด 7 Re วิธีลดขยะที่ทำให้โลกน่าอยู่ขึ้น 

  1. #Refuse ปฏิเสธบรรจุภัณฑ์เพิ่มมลพิษ Say No ให้ Single-use Plastic 
  2. #Reduce ลดถุงซ้อน ลดการใช้โดยไม่จำเป็น 
  3. #Reuse ใช้แล้ว ใช้อีก ใช้คุ้ม ไม่ฟุ่มเฟือย 
  4. #Recycle แยกขยะให้เป็นนิสัย เพื่อส่งขยะไปเกิดใหม่ได้อีก 
  5. #Refill เลือกแบบเติมได้ ไม่เพิ่มขยะเกินความจำเป็น 
  6. #Repair ซ่อมแซม เซฟเงินในกระเป๋า เซฟเรา เซฟโลก 
  7. #Return ส่งคืนกลับไปให้หมุนเวียน ทำให้เกิดการวนทรัพยากรไปใช้ซ้ำ

นี่คือแนวคิด 7 Re แนวทางที่พูดง่ายแต่ทำยาก หากเราลอง ReThink ทบทวนใหม่ เรื่องเหล่านี้ “ไม่ยาก” เพียงแค่ต้องทลายความ “เคยชิน” แล้วทำเทรนด์รักษ์โลกให้เป็นนิสัยใหม่…หลายคนเริ่มแล้ว เราล่ะ! เริ่มกี่โมง?

ถ้าเรายังคิดไม่ได้ ไม่ลงมือทำ บางทีสำนวน “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” อาจสืบทอดสู่รุ่นลูกรุ่นหลานใหม่ในเวอร์ชั่น

ในน้ำมีปลา...ในท้องปลามี 'ไมโครพลาสติก'

ในนามีข้าว...ในจานข้าวมี 'ไมโครพลาสติก'

...ถึงวันนั้น รุ่นเราคงไม่อยู่แล้ว แต่ก็ทิ้งเรื่องหดหู่ไว้เป็น “มรดก“ ให้ลูกหลานสาปส่ง

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์