นักวิจัยจากหลายสถาบันพากันชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงที่น่าเป็นห่วงระหว่าง “ภาวะโลกร้อน สาหร่ายพิษในน้ำ และความผิดปกติทางระบบประสาทในโลมาน้ำกร่อย” โดยงานวิจัยชิ้นล่าสุดซึ่งตีพิมพ์ใน Communications Biology ปี 2025 ระบุว่า “โลมาเกยตื้น” ที่พบในอ่าวลากูนอินเดียนริเวอร์ รัฐฟลอริดา มีระดับสารพิษ 2,4-diaminobutyric acid (2,4-DAB) ในสมองเพิ่มขึ้นมากในช่วงฤดูบลูมของสาหร่าย เมื่อเทียบกับช่วงที่ไม่มีบลูม พร้อมกับการแสดงออกของยีนหลายร้อยตัวที่เชื่อมโยงกับความเสี่ยง “โรคอัลไซเมอร์”

ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยฟลอริดา แบ่งโลมาออกเป็น 2 กลุ่มตามฤดูกาล “บลูม” (เดือนมิถุนายน–พฤศจิกายน) และ “ไม่บลูม” (ธันวาคม–พฤษภาคม) พบว่าโลมาเหล่านี้สะสมสารพิษสาหร่ายสูงกว่าปกติถึง 2,900 เท่า ในช่วงที่เกิดบลูมสาหร่ายพิษ (Harmful Algal Blooms – HABs) โดยผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า โลมาเหล่านี้มียีนเปลี่ยนแปลงกว่า 536 ตำแหน่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบประสาทและความจำ ทำให้เกิดลักษณะสมองคล้ายโรคอัลไซเมอร์ (AD-like pathology) ทั้งการสะสมของ โปรตีน β-amyloid, tau และ TDP-43 ซึ่งเป็นสัญญาณของการทำลายเซลล์สมอง
“ภาวะโลกร้อนทำให้สาหร่ายพิษทวีความรุนแรงขึ้น โลมาในพื้นที่นี้จึงสัมผัสสารพิษมากขึ้นทุกปี ผลกระทบต่อสมองและพฤติกรรมของพวกมัน อาจเชื่อมโยงกับการตื่นตัวผิดปกติหรือการเกยตื้นเป็นกลุ่ม”
— ดร.เดโบราห์ ฟอคิเยร์ ผู้ร่วมศึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ทะเลน้ำกร่อย ระบุ
ข้อมูลนี้สอดคล้องกับรายงานก่อนหน้านี้ที่พบว่า โลมามีพฤติกรรมแปลกไป เช่น ว่ายช้าลง ลืมเส้นทางเดิม หรือว่ายตามสมาชิกที่ป่วยขึ้นฝั่ง ซึ่งอาจเป็นผลจากการได้รับสารพิษสะสมในสมอง
โลกร้อนและ HABs ตัวเร่งให้ปัญหาลึกขึ้น
งานวิจัยชี้ว่า ภาวะโลกร้อนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ภัยจาก Harmful Algal Blooms (HABs) ทวีความรุนแรงและยาวนานมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มอุณหภูมิน้ำที่สูงขึ้นในพื้นที่ชายฝั่งของฟลอริดา ตามบทความใน WLRN นักวิจัยเตือนว่า โลมาที่เป็นสัตว์ลำดับบนในห่วงโซ่อาหารทะเล มีความเสี่ยงที่สูงของการสะสมสารพิษ เนื่องจากพวกมันกินปลา 15–20 ปอนด์ต่อวัน และสารพิษเหล่านี้น่าจะสะสมผ่านการกินสัตว์ตัวเล็กในห่วงโซ่อาหาร

ข้อกังวลเชิงระบบนิเวศและสุขภาพมนุษย์
นักวิจัยมองว่าโลมาในอ่าวลากูนอินเดียนริเวอร์ เป็น “ดัชนีชี้วัดสิ่งแวดล้อม” (Environmental Sentinel) เพราะการเปลี่ยนแปลงทางระบบประสาทที่พบในสมองโลมา อาจสะท้อนถึงความเสี่ยงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในระบบนิเวศทะเล และอาจส่งสัญญาณเตือนถึงสุขภาพมนุษย์ด้วย
ดร.เดวิด เอ. เดวิส จากทีมวิจัยกล่าวว่า ความเครียดจากสาหร่ายพิษ (HABs) อาจเร่งกระบวนการเสื่อมประสาทในโลมา ซึ่งเชื่อมโยงกับโรคอัลไซเมอร์ อีกทั้ง ดร.เวนดี้ นอกเดอร์เดน ชี้ว่าการค้นพบเหล่านี้ไม่ใช่เพียง “ภัยคุกคามต่อประชากรโลมา” เท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงการเสื่อมคุณภาพของระบบน้ำที่มนุษย์ก็พึ่งพาอยู่
ความท้าทายในงานวิจัย และแนวทางอนาคต
แม้งานวิจัยจะให้ข้อมูลเชิงลึกที่ทรงคุณค่า แต่ทีมวิจัยยอมรับว่ามีข้อจำกัด โดยเฉพาะขนาดตัวอย่างจำกัด นอกจากนี้ ผลลัพธ์ยังเป็นความสัมพันธ์ ไม่ใช่สาเหตุหลัก โดย ดร.เดอร์เดน เตือนว่าแม้ตัวแปรเหล่านี้เชื่อมโยงกัน แต่ยังไม่สามารถบอกได้ชัดว่าพิษเป็นสาเหตุโดยตรงของความผิดปกติทางสมอง ต้องศึกษาต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ทีมวิจัยแนะนำให้มีการศึกษาเพิ่มเติมในอนาคต เพื่อขยายขนาดตัวอย่างโลมาและเวลาในการเก็บตัวอย่าง เฝ้าติดตามผลระยะยาวของโลมาที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยง รวมทั้งศึกษาคุณภาพน้ำและระดับสารพิษในห่วงโซ่อาหาร เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อประชากรสัตว์ทะเลและมนุษย์
ด้าน ดร.เวร่า เทรนเนอร์ นักพิษวิทยาสาหร่ายจาก NOAA ระบุว่า การติดตามผลกระทบของสาหร่ายบลูมต่อสัตว์ทะเลช่วยให้เราคาดการณ์และป้องกันผลกระทบต่อประชากรสัตว์ทะเลได้มากขึ้น การเข้าใจปรากฏการณ์นี้เป็นขั้นตอนสำคัญในการรักษาความยั่งยืนทางทะเล พร้อมเรียกร้องให้มีการติดตามสาหร่ายบลูมและระดับสารพิษในทะเลน้ำกร่อยอย่างต่อเนื่อง รวมถึงลดมลพิษและก๊าซเรือนกระจก เพื่อชะลอภาวะโลกร้อนและปกป้องสัตว์ทะเลอัจฉริยะอย่างโลมา
สัญญาณเตือนของระบบนิเวศ
การค้นพบลายเซ็นต์อัลไซเมอร์ในสมองโลมา เนื่องจากการสัมผัสสารพิษ 2,4-DAB ในช่วงฤดูสาหร่ายบลูม กำลังสะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของสิ่งแวดล้อม “โลกร้อน” ทำให้ HABs เพิ่มขึ้น สารพิษจำนวนมากสะสมในระบบห่วงโซ่อาหาร และสัตว์ลำดับบนอย่าง “โลมา” กำลังกลายเป็นเหยื่อของผลกระทบโลกร้อน สัตว์ที่อัจฉริยะที่สุดในทะเลเริ่มแสดงสัญญาณของโรคที่เคยพบเฉพาะมนุษย์ ซึ่งเป็นเครื่องเตือนใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากโลกร้อน
ไม่ว่าจะ...โลมาเกยตื้น หรือวาฬเกยตื้น ก็ขอให้เป็นแค่เพลง อย่ามาบรรเลงในโลกจริง!!



