แรงงานเสี่ยงล้มทั้งยืน! WHO เตือนคลื่นความร้อนคุกคามชีวิตคนทำงานทั่วโลก เสนอแผนรับมือเร่งด่วน

29 ส.ค. 2568 - 04:12

  • แรงงานกว่า 2,400 ล้านคนทั่วโลกกำลังเผชิญความร้อนจัด เสี่ยงอุบัติเหตุ-โรคร้ายแรงในที่ทำงาน

  • รายงานเผยสถิติผลิตภาพแรงงานลดลง 2–3% ทุก 1°C ที่อุณหภูมิเพิ่มขึ้น

  • WHO และ WMO เสนอ “Heat Action Plan” รับมือโลกร้อน หวังปกป้องสิทธิและความเสมอภาค โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางในประเทศกำลังพัฒนา

แรงงานเสี่ยงล้มทั้งยืน! WHO เตือนคลื่นความร้อนคุกคามชีวิตคนทำงานทั่วโลก เสนอแผนรับมือเร่งด่วน

องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ร่วมกันเผยแพร่รายงานฉบับใหม่และแนวทางทางเทคนิคเพื่อรับมือกับ “ภาวะเครียดจากความร้อนในที่ทำงาน” (Workplace Heat Stress) หลังมีรายงานพบว่าอุณหภูมิที่พุ่งสูงขึ้นจากภาวะโลกร้อนกำลังกลายเป็นภัยเงียบที่คุกคามชีวิตแรงงานนับพันล้านคนทั่วโลก และส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในวงกว้าง

รายงานฉบับนี้มีชื่อว่า “Climate Change and Workplace Heat Stress” ซึ่งอ้างอิงข้อมูลจากงานวิจัยตลอด 50 ปีที่ผ่านมา พบว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้แรงงาน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเกษตรกรรม ก่อสร้าง และประมง ต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย และเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพร้ายแรง เช่น ภาวะขาดน้ำ โรคลมแดด ไตวาย และโรคหลอดเลือดสมอง

“ความเครียดจากความร้อนกำลังบั่นทอนสุขภาพและความมั่นคงของแรงงานนับพันล้านคนทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่เปราะบาง การรับมืออย่างเป็นระบบและอิงหลักฐาน คือกุญแจสำคัญในการสร้างความยั่งยืนและความเท่าเทียมในโลกที่ร้อนขึ้น”

ดร.เจเรมี ฟาร์ราร์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก กล่าวในรายงาน

sustainability-climate-change-and-workplace-heat-stress-SPACEBAR-Photo01.jpg

ผลิตภาพแรงงานลดลง 2-3% เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นทุก 1 องศาเซลเซียส

ในรายงานยังระบุว่า ปี 2024 เป็นปีที่ร้อนที่สุดเท่าที่มีการบันทึกมา โดยมีบางพื้นที่เผชิญอุณหภูมิสูงเกิน 50°C ซึ่งกำลังกลายเป็น “ความปกติใหม่” ของหลายประเทศ ความร้อนระดับนี้ส่งผลให้ผลิตภาพแรงงานลดลง 2–3% ทุกองศาเซลเซียสที่เกินจาก 20°C และยิ่งเป็นภาระหนักขึ้นสำหรับแรงงานที่ไม่มีทางเลือกในการทำงานในที่ร่มหรือมีระบบระบายอากาศที่ดี

ทั้งนี้ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ระบุเพิ่มเติมว่าแรงงานกว่า 2,400 ล้านคนทั่วโลก กำลังเผชิญความร้อนเกินขีดจำกัดและส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุจากการทำงานมากกว่า 22.85 ล้านกรณีต่อปี

ข้อเสนอเชิงนโยบายจาก WHO และ WMO

เพื่อรับมือกับวิกฤตนี้ WHO และ WMO เสนอแนวทางปฏิบัติที่รัฐบาล นายจ้าง และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องควรดำเนินการอย่างเร่งด่วน อาทิ

  • การพัฒนานโยบายสุขภาพแรงงานเฉพาะด้าน เพื่อรองรับอุณหภูมิสูงในแต่ละภูมิภาค
  • ออกแบบ Heat Action Plan ประจำสถานประกอบการ โดยคำนึงถึงลักษณะงาน เวลา และสถานที่
  • จัดพื้นที่พักร้อน เวลาทำงานใหม่ และระบบเตือนภัยความร้อน
  • ฝึกอบรมแรงงานและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขให้รู้เท่าทันอาการของโรคจากความร้อน
  • ใช้นวัตกรรม เช่น เสื้อผ้าป้องกันความร้อน อุปกรณ์วัดอุณหภูมิร่างกาย และระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ
  • การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด ทั้งแรงงาน สหภาพแรงงาน ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ และหน่วยงานท้องถิ่น ในการร่วมกันพัฒนายุทธศาสตร์สุขภาพด้านความร้อนที่เหมาะกับท้องถิ่น
sustainability-climate-change-and-workplace-heat-stress-SPACEBAR-Photo02.jpg

สวัดิภาพแรงงานกับ SDGs และความยั่งยืน

รายงานฉบับนี้สอดคล้องโดยตรงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ได้แก่

  • SDG 3: สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
  • SDG 8: การจ้างงานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
  • SDG 13: การดำเนินการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

การปกป้องแรงงานจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น ไม่ใช่เพียงเรื่องสุขภาพ แต่เป็นเรื่องของความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ และสิทธิแรงงานในยุคที่ความไม่แน่นอนทางสภาพอากาศเพิ่มขึ้น

ประเทศไทยอยู่ในเขตวิกฤตต้องเร่งปรับตัว

ในบริบทของประเทศไทยซึ่งมีแรงงานจำนวนมากในภาคกลางแจ้ง เช่น ภาคก่อสร้าง เกษตรกรรม ขนส่ง และบริการกลางแจ้ง พบว่าในปี 2024 หลายพื้นที่มีอุณหภูมิสูงเกิน 44°C อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับ “อันตราย”

แม้จะมีการออกประกาศเตือนภัยและแผนการเฝ้าระวังจากกรมอุตุนิยมวิทยาและกระทรวงสาธารณสุข แต่ยังขาดนโยบายเฉพาะด้านสำหรับแรงงานในที่ทำงาน ที่ต้องเผชิญความร้อนโดยตรง ภาครัฐโดยเฉพาะ กระทรวงแรงงาน กรมควบคุมโรค และสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ควรเร่งออกแนวทางรับมือกับ “ความเครียดจากความร้อน” อย่างเป็นระบบ ทั้งในรูปแบบของกฎหมาย มาตรฐานความปลอดภัยในสถานประกอบการ และการให้ความรู้แก่แรงงานทั่วประเทศ

ในโลกที่กำลังร้อนขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ความสามารถของประเทศในการปกป้องแรงงานจากผลกระทบของสภาพอากาศ จึงเป็นมากกว่าแค่เรื่องของสวัสดิการหรือความปลอดภัย แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเท่าเทียมสำหรับทุกคน หากประเทศไทยไม่เริ่มวางรากฐานวันนี้ อาจต้องเผชิญ “ต้นทุนชีวิต–ต้นทุนเศรษฐกิจ” ที่สูงกว่าที่เราคาดคิดไว้มากในอนาคต

อ้างอิง

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์