องค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ร่วมกันเผยแพร่รายงานฉบับใหม่และแนวทางทางเทคนิคเพื่อรับมือกับ “ภาวะเครียดจากความร้อนในที่ทำงาน” (Workplace Heat Stress) หลังมีรายงานพบว่าอุณหภูมิที่พุ่งสูงขึ้นจากภาวะโลกร้อนกำลังกลายเป็นภัยเงียบที่คุกคามชีวิตแรงงานนับพันล้านคนทั่วโลก และส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในวงกว้าง
รายงานฉบับนี้มีชื่อว่า “Climate Change and Workplace Heat Stress” ซึ่งอ้างอิงข้อมูลจากงานวิจัยตลอด 50 ปีที่ผ่านมา พบว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้แรงงาน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเกษตรกรรม ก่อสร้าง และประมง ต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย และเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพร้ายแรง เช่น ภาวะขาดน้ำ โรคลมแดด ไตวาย และโรคหลอดเลือดสมอง
“ความเครียดจากความร้อนกำลังบั่นทอนสุขภาพและความมั่นคงของแรงงานนับพันล้านคนทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรที่เปราะบาง การรับมืออย่างเป็นระบบและอิงหลักฐาน คือกุญแจสำคัญในการสร้างความยั่งยืนและความเท่าเทียมในโลกที่ร้อนขึ้น”
— ดร.เจเรมี ฟาร์ราร์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก กล่าวในรายงาน

ผลิตภาพแรงงานลดลง 2-3% เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้นทุก 1 องศาเซลเซียส
ในรายงานยังระบุว่า ปี 2024 เป็นปีที่ร้อนที่สุดเท่าที่มีการบันทึกมา โดยมีบางพื้นที่เผชิญอุณหภูมิสูงเกิน 50°C ซึ่งกำลังกลายเป็น “ความปกติใหม่” ของหลายประเทศ ความร้อนระดับนี้ส่งผลให้ผลิตภาพแรงงานลดลง 2–3% ทุกองศาเซลเซียสที่เกินจาก 20°C และยิ่งเป็นภาระหนักขึ้นสำหรับแรงงานที่ไม่มีทางเลือกในการทำงานในที่ร่มหรือมีระบบระบายอากาศที่ดี
ทั้งนี้ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ระบุเพิ่มเติมว่าแรงงานกว่า 2,400 ล้านคนทั่วโลก กำลังเผชิญความร้อนเกินขีดจำกัดและส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุจากการทำงานมากกว่า 22.85 ล้านกรณีต่อปี
ข้อเสนอเชิงนโยบายจาก WHO และ WMO
เพื่อรับมือกับวิกฤตนี้ WHO และ WMO เสนอแนวทางปฏิบัติที่รัฐบาล นายจ้าง และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องควรดำเนินการอย่างเร่งด่วน อาทิ
- การพัฒนานโยบายสุขภาพแรงงานเฉพาะด้าน เพื่อรองรับอุณหภูมิสูงในแต่ละภูมิภาค
- ออกแบบ Heat Action Plan ประจำสถานประกอบการ โดยคำนึงถึงลักษณะงาน เวลา และสถานที่
- จัดพื้นที่พักร้อน เวลาทำงานใหม่ และระบบเตือนภัยความร้อน
- ฝึกอบรมแรงงานและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขให้รู้เท่าทันอาการของโรคจากความร้อน
- ใช้นวัตกรรม เช่น เสื้อผ้าป้องกันความร้อน อุปกรณ์วัดอุณหภูมิร่างกาย และระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ
- การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด ทั้งแรงงาน สหภาพแรงงาน ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ และหน่วยงานท้องถิ่น ในการร่วมกันพัฒนายุทธศาสตร์สุขภาพด้านความร้อนที่เหมาะกับท้องถิ่น

สวัดิภาพแรงงานกับ SDGs และความยั่งยืน
รายงานฉบับนี้สอดคล้องโดยตรงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ได้แก่
- SDG 3: สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี
- SDG 8: การจ้างงานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
- SDG 13: การดำเนินการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การปกป้องแรงงานจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น ไม่ใช่เพียงเรื่องสุขภาพ แต่เป็นเรื่องของความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ และสิทธิแรงงานในยุคที่ความไม่แน่นอนทางสภาพอากาศเพิ่มขึ้น
ประเทศไทยอยู่ในเขตวิกฤตต้องเร่งปรับตัว
ในบริบทของประเทศไทยซึ่งมีแรงงานจำนวนมากในภาคกลางแจ้ง เช่น ภาคก่อสร้าง เกษตรกรรม ขนส่ง และบริการกลางแจ้ง พบว่าในปี 2024 หลายพื้นที่มีอุณหภูมิสูงเกิน 44°C อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับ “อันตราย”
แม้จะมีการออกประกาศเตือนภัยและแผนการเฝ้าระวังจากกรมอุตุนิยมวิทยาและกระทรวงสาธารณสุข แต่ยังขาดนโยบายเฉพาะด้านสำหรับแรงงานในที่ทำงาน ที่ต้องเผชิญความร้อนโดยตรง ภาครัฐโดยเฉพาะ กระทรวงแรงงาน กรมควบคุมโรค และสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ควรเร่งออกแนวทางรับมือกับ “ความเครียดจากความร้อน” อย่างเป็นระบบ ทั้งในรูปแบบของกฎหมาย มาตรฐานความปลอดภัยในสถานประกอบการ และการให้ความรู้แก่แรงงานทั่วประเทศ
ในโลกที่กำลังร้อนขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ความสามารถของประเทศในการปกป้องแรงงานจากผลกระทบของสภาพอากาศ จึงเป็นมากกว่าแค่เรื่องของสวัสดิการหรือความปลอดภัย แต่ยังเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเท่าเทียมสำหรับทุกคน หากประเทศไทยไม่เริ่มวางรากฐานวันนี้ อาจต้องเผชิญ “ต้นทุนชีวิต–ต้นทุนเศรษฐกิจ” ที่สูงกว่าที่เราคาดคิดไว้มากในอนาคต