3 พายุเดือนสิงหาคม 2568 บททดสอบความเปราะบางและการพัฒนาอย่างยั่งยืน

1 ก.ย. 2568 - 06:40

  • Recap 3 พายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนผ่านเอเชียเดือนสิงหาคม 2568 “โพดุล-คาจิกิ-หนองฟ้า” ทำน้ำท่วม ดินถล่ม สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจในหลายประเทศ

  • กลุ่มเปราะบางเจ็บหนัก ผู้สูงอายุ เด็ก และเกษตรกรรายย่อยได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด ท่ามกลางความช่วยเหลือที่ยังไม่ทั่วถึง

  • สัญญาณเตือนจากธรรมชาติ การทำลายป่า และโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่พร้อมรับมือสะท้อน ความจำเป็นของการพัฒนาอย่างยั่งยืน

3 พายุเดือนสิงหาคม 2568 บททดสอบความเปราะบางและการพัฒนาอย่างยั่งยืน

เดือนสิงหาคม 2568 เป็นช่วงเวลาที่ภูมิภาคเอเชียเผชิญกับพายุหมุนเขตร้อน 3 ลูกติด เริ่มจาก พายุโพดุล (Podul) พายุคาจิกิ (Kajiki) และพายุหนองฟ้า (Nongfa) สร้างความท้าทายในหลายมิติ ก่อความเสียหายต่อชีวิตประชาชน ทรัพย์สิน ระบบเศรษฐกิจ การคมนาคม และสิ่งแวดล้อมในหลายประเทศ ตั้งแต่เวียดนาม จีน ไทย ไปจนถึงปากีสถาน ความรุนแรงและผลกระทบที่เกิดขึ้นสะท้อนถึง “ความเปราะบาง” ของโครงสร้างสังคม สิ่งแวดล้อม และการบริหารจัดการของแต่ละประเทศ

เดือนสิงหาคม 2568 “เดือนแห่งพายุ”

พายุโพดุล (Podul) พายุลูกแรกรับเดือนสิงหาคม

ต้นเดือนสิงหาคม 2568 พายุไต้ฝุ่น “โพดุล” เคลื่อนตัวขึ้นฝั่งที่ไต้หวันด้วยความเร็วลมสูงสุดเกือบ 200 กม./ชม. ส่งผลให้เกิดฝนตกหนัก น้ำท่วมฉับพลัน และดินถล่มในหลายจังหวัด ก่อนเคลื่อนต่อไปยังจีนตอนใต้ ทำให้ประชาชนกว่า 15,000 คน ต้องอพยพ เส้นทางการบิน รถไฟ และระบบสาธารณูปโภคถูกตัดขาดในหลายพื้นที่

  • ไต้หวัน ไฟฟ้าดับกว่า 292,000 ครัวเรือน เที่ยวบินถูกยกเลิกกว่า 400 เที่ยว มีผู้เสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บนับร้อย
  • จีน มณฑลฝูเจี้ยน กวางตุ้ง กวางสี เผชิญฝนหนักจนต้องอพยพเร่งด่วน เกิดน้ำท่วมและดินถล่มซ้ำซาก
  • ฮ่องกง ประกาศเตือน “Black Rainstorm” โรงเรียน-ศาลหยุดทำการ เมืองหยุดนิ่งชั่วข้ามคืน

พายุคาจิกิ (Kajiki) เหตุการณ์รุนแรงกลางเดือนสิงหาคม

พายุคาจิกิเคลื่อนขึ้นฝั่งเวียดนามกลางเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 25 สิงหาคม ด้วยความเร็วลมสูงสุดกว่า 115 mph (ราว 180 กม./ชม.) ซึ่งลดกำลังลงเล็กน้อยหลังขึ้นฝั่ง แต่ยังทำให้ฝนตกหนักต่อเนื่อง และทิ้งร่องรอยทำลายล้างไว้ในหลายพื้นที่

พายุหนองฟ้า (Nongfa) พายุลูกติดพันซ้ำเติมกลุ่มเปราะบาง

ปิดท้ายปลายเดือนสิงหาคม 2568 พายุ “หนองฟ้า” ขึ้นฝั่งที่ ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ก่อนเคลื่อนต่อเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำและเข้าสู่ประเทศไทย โดยกรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศประเทศไทยมีฝนตกต่อเนื่อง และมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดอุดรธานี หนองบัวลำภู เลย เพชรบูรณ์ พิจิตร พิษณุโลก อุตรดิตถ์ น่านตอนล่าง แพร่ ลำปาง สุโขทัย กำแพงเพชร ลำพูน เชียงใหม่ ตาก ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตหรือความเสียหายหนักในขณะนี้

three-killed-after-typhoon-kajiki-lashes-vietnam-floods-hanoi-streets-SPACEBAR.jpg

ความเปราะบางของระบบนิเวศในเมืองที่ลืมธรรมชาติ

ผลกระทบจากพายุเพียงเดือนเดียวนี้ตอกย้ำถึงความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะการสูญเสียพื้นที่ป่าต้นน้ำและพื้นที่รับน้ำธรรมชาติที่ถูกเปลี่ยนเป็นเมืองและพื้นที่เกษตรกรรม ข้อมูลจากการศึกษาพบว่า การทำลายป่าและการใช้ที่ดินที่ไม่ยั่งยืน ทำให้ระบบนิเวศขาดความยืดหยุ่นในการรับมือกับน้ำฝนที่ตกหนักและรวดเร็วมากขึ้น สภาพดังกล่าวทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มอย่างรุนแรงในหลายพื้นที่ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็น “ฟองน้ำ” ทางธรรมชาติของภูมิภาค

การฟื้นฟูและอนุรักษ์ระบบนิเวศจึงเป็นกุญแจสำคัญในการเสริมสร้างความมั่นคงของธรรมชาติ เพื่อเพิ่มความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบางและความเหลื่อมล้ำทางสังคม

ภัยพิบัติครั้งนี้เผยให้เห็นว่ากลุ่มประชากรเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก และผู้มีรายได้น้อย มักได้รับผลกระทบรุนแรงและฟื้นตัวได้ช้ากว่ากลุ่มอื่น เนื่องจากขาดทรัพยากรและการเข้าถึงบริการช่วยเหลืออย่างเพียงพอ โครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เสี่ยงภัยยังไม่เอื้อต่อการรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉิน ประกอบกับช่องว่างทางสังคมและเศรษฐกิจที่ขยายตัวมากขึ้น ทำให้การฟื้นฟูหลังภัยพิบัติไม่ทั่วถึงและช้า

นอกจากนี้ ภาคเกษตรกรรมซึ่งเป็นรายได้หลักของชุมชนหลายแห่ง ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากน้ำท่วมและสภาพอากาศที่แปรปรวน ผลผลิตลดลง รายได้ลดตาม ส่งผลให้ความยากจนเพิ่มขึ้นและเกิดหนี้สินในเกษตรกรรายย่อยอย่างต่อเนื่อง

การบริหารจัดการภัยพิบัติ จุดอ่อนที่ต้องแก้ไข

การเตรียมความพร้อมและการบริหารจัดการภัยพิบัติในหลายประเทศยังมีข้อจำกัดที่ชัดเจน ระบบการประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐ เอกชน และชุมชนยังไม่เต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทและชุมชนห่างไกลที่ยังไม่เข้าถึงข้อมูลเตือนภัยอย่างทันเวลา นอกจากนี้ ระบบเตือนภัยยังขาดการสื่อสารที่เหมาะสมกับกลุ่มเปราะบาง

การแก้ไขปัญหาเหล่านี้จำเป็นต้องมีการบูรณาการอย่างเป็นระบบ ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการเฝ้าระวัง เตือนภัย และฟื้นฟูหลังภัยพิบัติอย่างรวดเร็วและครอบคลุม

บทเรียนจากพายุและทางรอดอยู่ที่การพัฒนาที่ยั่งยืน

พายุหมุนเขตร้อนทั้ง 3 ลูกในเดือนสิงหาคม 2568 ไม่ใช่เพียงทดสอบระบบเตือนภัยหรือศักยภาพการกู้ภัยเท่านั้น หากยังสะท้อนถึง “โครงสร้างที่เปราะบาง” ของสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจอย่างลึกซึ้ง แนวทางการฟื้นตัวและการปรับตัวจำเป็นต้องขับเคลื่อนควบคู่กับ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะ 4 เป้าหมายหลัก ที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการรับมือและลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ประกอบด้วย

SDG 1: ขจัดความยากจน

ภัยธรรมชาติส่งผลกระทบอย่างไม่สมมาตร โดยเฉพาะต่อกลุ่มเปราะบางที่ขาดโอกาสในการป้องกัน ฟื้นตัว และเข้าถึงทรัพยากรสนับสนุน การขจัดความยากจนจึงไม่ใช่แค่เป้าหมายทางเศรษฐกิจ แต่คือการสร้างภูมิคุ้มกันพื้นฐานให้สังคมสามารถยืนหยัดท่ามกลางวิกฤต

SDG 11: เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน

เมืองที่โตเร็วเกินไปและการออกแบบเมืองที่ไม่รองรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ กลายเป็นปัจจัยเร่งความรุนแรงของภัยพิบัติ พื้นที่รับน้ำหายไป ระบบระบายน้ำล้มเหลว เมืองต้องถูกออกแบบใหม่ให้มีความยืดหยุ่น ปลอดภัย และฟื้นตัวได้รวดเร็วภายใต้ภาวะไม่แน่นอน

SDG 13: การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

พายุที่รุนแรงขึ้นเป็นผลโดยตรงจากวิกฤตภูมิอากาศ ทั้งระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น อุณหภูมิผิวน้ำที่เพิ่มขึ้น และลักษณะฝนที่เปลี่ยนไป การดำเนินนโยบายด้าน Climate Adaptation และ Mitigation จึงต้องไม่ล่าช้า และต้องแทรกซึมในทุกมิติของการพัฒนา

SDG 15: การอนุรักษ์ระบบนิเวศทางบก

ระบบนิเวศคือแนวป้องกันภัยธรรมชาติชั้นแรก พื้นที่ป่าที่ถูกทำลายเท่ากับลดทอนความสามารถของธรรมชาติในการดูดซับแรงกระแทกจากฝนและน้ำ การฟื้นฟูป่าและการใช้ที่ดินอย่างยั่งยืนคือกลยุทธ์ระยะยาวที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

จากภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น สิ่งที่เรารับรู้ได้คือ “ภัยพิบัติไม่ใช่ความผิดของธรรมชาติ” หากแต่เป็นผลสะท้อนจากรูปแบบการพัฒนาที่ยังละเลยความเสี่ยงเชิงระบบ การบูรณาการ SDGs สู่การวางแผนเชิงนโยบายและพื้นที่จึงไม่ใช่เพียง “แนวทางที่ดี” แต่คือ “ข้อกำหนดขั้นต่ำ” หากเราต้องการสังคมที่ยั่งยืน ฟื้นตัวได้...และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์