ความปลอดภัยใน ‘สวนสัตว์ไทย’ บทเรียนที่ต้องตระหนัก-เร่งปฏิรูป เพื่อเกิดความคุ้มครองอย่างแท้จริง

11 ก.ย. 2568 - 07:54

  • ความปลอดภัยใน ‘สวนสัตว์ไทย’ บทเรียนที่ต้องตระหนัก และเร่งปฏิรูปเพื่อคุ้มครอง

  • หลังเหตุสัตว์ป่า (สิงโต) ทำร้ายเจ้าหน้าที่ ‘ซาฟารีเวิลด์’ เสียชีวิต

  • กรมอุทยานฯ สั่งพักโซนสัตว์ดุร้าย ‘ซาฟารีเวิลด์’ พร้อมสั่งเร่งทบทวนมาตรการความปลอดภัย

ความปลอดภัยใน ‘สวนสัตว์ไทย’ บทเรียนที่ต้องตระหนัก-เร่งปฏิรูป เพื่อเกิดความคุ้มครองอย่างแท้จริง

จากกรณีเกิดเหตุสิงโตในสวนสัตว์ชื่อดังใน กทม. ทำร้ายเจ้าหน้าที่ของสวนสัตว์จนเสียชีวิต โดยเกิดเหตุวันที่ 10 กันยายน 2568 สิงโตอีก 3-4 ตัว ได้เข้ารุมทำร้ายเจ้าหน้าที่จนบาดเจ็บสาหัส ขณะเกิดเหตุมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติจำนวนมาก ที่กำลังเข้ามาชมอยู่ในสวนสัตว์ ก่อนที่เจ้าหน้าที่รายดังกล่าวจะได้รับการช่วยเหลือนำตัวส่งโรงพยาบาล กระทั่งเสียชีวิตในเวลาต่อมา

‘ซาฟารีเวิลด์’ แสดงความเสียใจ เจ้าหน้าที่ถูกสิงโตทำร้ายเสียชีวิต ยันดูแลครอบครัวเต็มที่

Safety-in-zoos-Lessons-for-urgent-reform-to-protect-SPACEBAR-Photo01.jpg

วันเดียวกัน (10 ก.ย.) สวนสัตว์เปิด ‘ซาฟารีเวิลด์’ ออกแถลงการณ์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก Safari World แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่พนักงานถูกสิงโตทำร้ายจนเสียชีวิต พร้อมเยียวยาครอบครัว โดยข้อความระบุว่า

ตามที่ปรากฏข่าวเหตุการณ์อุบัติเหตุกับเจ้าหน้าที่ประจำโซนสิงโตในสวนสัตว์เปิด บริษัท ซาฟารีเวิลด์ จำกัด (มหาชน) ขอเรียนว่าพนักงานผู้ปฏิบัติงานได้รับบาดเจ็บสาหัส และได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา บริษัทฯ ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต และจะให้การดูแลและสนับสนุนครอบครัวอย่างสุดความสามารถ

จากการตรวจสอบสิงโตและสัตว์ทุกชนิดอยู่ในสภาวะปกติ และได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดโดยทีมผู้เชี่ยวชาญบริษัทฯ ขอยืนยันว่า ตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน บริษัทฯ ให้ความสำคัญสูงสุดต่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและพนักงานทุกคน โดยเน้นย้ำเรื่องการไม่ลงจากรถระหว่างการเที่ยวชมสวนสัตว์เปิด โดยเฉพาะในโซนสัตว์ดุร้าย

บริษัทฯ จะดำเนินการ ตรวจสอบและเสริมมาตรการด้านความปลอดภัยอย่างเร่งด่วน เพื่อป้องกันมิให้เหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก

Safety-in-zoos-Lessons-for-urgent-reform-to-protect-SPACEBAR-Photo02.jpg

กรมอุทยานฯ สั่งพักโซนสัตว์ดุร้าย ‘ซาฟารีเวิลด์’ เร่งทบทวนมาตรการความปลอดภัย

อรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (กรมอุทยานฯ) เปิดเผยว่า กรณีเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์เสียชีวิตจากเหตุสิงโตทำร้ายในสวนสัตว์ซาฟารีเวิลด์ เบื้องต้นได้สั่งการให้พักการให้บริการซาฟารีโซนสัตว์ดุร้าย ของสวนสัตว์เป็นการชั่วคราว พร้อมสั่งให้สวนสัตว์เร่งจัดทำแผนมาตรการด้านความปลอดภัยใหม่ เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด

“กรมอุทยานฯ ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต และจะดำเนินการตรวจสอบเหตุการณ์นี้อย่างเข้มงวด แม้สวนสัตว์จะได้รับอนุญาตให้เปิดอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่กรมฯ จะตรวจสอบว่าการครอบครองสิงโตจำนวน 32 ตัวที่เหลืออยู่เป็นไปตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 หรือไม่ และให้สวนสัตว์ส่งแผนมาตรการด้านความปลอดภัยมาพิจารณาภายใน 2 วัน

นอกจากนี้ กรมฯ จะเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสวนสัตว์เปิดอีก 5 แห่งทั่วประเทศ จากเดิมที่ตรวจทุก 1-3 เดือน เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชน”

ด้าน เฉลิม พุ่มไม้ ผู้อำนวยการสำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมฯ จะนำมาตรการ 23 ข้อสำหรับสวนสัตว์มาทบทวนเพิ่มเติม โดยเฉพาะเรื่องแนวเขตป้องกันระหว่างคนกับสัตว์ และการติดตั้งกล้องวงจรปิดในพื้นที่เสี่ยง ส่วนสาเหตุที่เจ้าหน้าที่ลงจากรถขณะเกิดเหตุนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ขณะที่ สดุดี พันธุ์ภักดี ผู้อำนวยการกองคุ้มครองพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญา (CITES) ชี้แจงว่า สิงโตที่ก่อเหตุมีอายุมากกว่า 20 ปี และแม้เจ้าหน้าที่ผู้เสียชีวิตจะคุ้นเคยกับสัตว์ แต่สัตว์ทุกชนิดก็ยังมีสัญชาตญาณความเป็นผู้ล่า ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ทำงานกับสัตว์ดุร้ายต้องตระหนักถึงจุดนี้เสมอและไม่ควรหันหลังให้สัตว์ เนื่องจากสิงโตเป็นสัตว์ป่าควบคุมชนิด ก (ดุร้าย) สัญชาตญาณของสิงโตไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ของ “นักล่า” แต่เป็นพฤติกรรมธรรมชาติที่สิงโตต้องมีเพื่อความอยู่รอด แม้ในสิงโตเลี้ยง (captivity) ที่มีอาหารพร้อม แต่ก็ยังคงแสดงออก เช่น ไล่จับของเล่น ขย้ำเหยื่อจำลอง

เทียบมาตรการ กม. ‘สวนสัตว์ไทย’ บทเรียนที่ต้องปฏิรูปเพื่อคุ้มครองสัตว์ป่าอย่างแท้จริง

จากเหตุการณ์ที่มีเจ้าหน้าที่สวนสัตว์ถูกสัตว์ป่าในโซนดุร้ายเข้าทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต ทำให้หลายฝ่ายกังวลเรื่องความปลอดภัย และมองหามาตรการในการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุแบบนี้ขึ้นซ้ำรอย

โดยมีข้อมูลการศึกษาเกี่ยวกับมาตรการทางกฎหมายในการดำเนินกิจการสวนสัตว์สาธารณะ จากวิทยานิพนธ์นางสาวอังคณา วิฑูรย์พันธ์ สาขากฎหมายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปี 2559 ได้เปรียบเทียบกฎหมายประเทศออสเตรเลีย ในการดำเนินกิจการสวนสัตว์สาธารณะ มีเนื้อหาสาระระบุไว้ว่า…

อันที่จริง เรื่องความปลอดภัย ในการพักผ่อน ท่องเที่ยว ในสวนสัตว์ มีความสำคัญมากๆ แต่ที่มากกว่านั้น สวนสัตว์จะไม่มีปัญหา ถ้า บริหารจัดการดี และทำตามกฎหมาย

สวนสัตว์ ในเมืองไทย เกิดจากการเปลี่ยน สวน พักผ่อน ของวังหลวง ให้กลายเป็น ที่พักผ่อน ของคนทั่วไป เอาสัตว์มาใส่ไว้ หาคนมาดูแล เวลาผ่านไป จึงพัฒนาโดยเอาแบบมาจากสากล สวนสัตว์เป็นอะไรมากกว่า ที่เที่ยวพักผ่อน

‘สวนสัตว์’ หลายคนอาจนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับครอบครัว แหล่งเรียนรู้ธรรมชาติ หรือสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ แต่ความจริงแล้วสวนสัตว์ยังมีบทบาทสำคัญในฐานะ “ที่พึ่งสุดท้าย” ของสัตว์ป่าหลายสายพันธุ์ โดยช่วยป้องกันไม่ให้สัตว์สูญพันธุ์และเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เพื่อการอนุรักษ์

อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังกรงและพื้นที่จัดแสดงเหล่านั้นยังสะท้อนปัญหาหนักหน่วงที่สังคมไทยต้องหันกลับมาทบทวน

ปัญหาเรื้อรังของสวนสัตว์ไทย

แม้กฎหมายไทย (พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535) จะกำหนดกรอบการจัดตั้งสวนสัตว์ไว้อย่างเป็นทางการ แต่ในความเป็นจริงกลับพบปัญหาใหญ่ 2 ประการที่ยังคงอยู่

สวัสดิภาพสัตว์ในสวนสัตว์ สัตว์หลายชนิดต้องอาศัยในกรงหรือพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม การจัดการเรื่องอาหาร การรักษาโรค และการดูแลทั่วไปยังขาดมาตรฐาน สัตว์บางแห่งมีสภาพความเป็นอยู่ที่น่าสงสารและไม่สอดคล้องกับธรรมชาติของพวกมัน

การลักลอบค้าสัตว์ป่า มีการใช้ “ใบอนุญาตสวนสัตว์” บังหน้าเพื่อซุกซ่อนธุรกิจค้าสัตว์ป่าอย่างผิดกฎหมาย นำไปสู่การทำลายระบบการอนุรักษ์และเปิดช่องให้สัตว์ป่ากลายเป็นสินค้า

เมื่อเทียบกับต่างประเทศ

งานวิจัยเปรียบเทียบกฎหมายไทยกับออสเตรเลีย ชี้ว่า ระบบของไทยยังมีจุดอ่อนมาก ขั้นตอนการขออนุญาตจัดตั้งสวนสัตว์ของไทยไม่ซับซ้อน ขาดการพิจารณาคุณสมบัติด้านประสบการณ์การดูแลสัตว์ การรายงานข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์จำกัดแค่จำนวนเพิ่มขึ้นหรือลดลง ไม่ได้บังคับให้รายงานด้านสุขภาพ พฤติกรรม หรือโรคของสัตว์ มาตรฐานการจัดสวัสดิภาพสัตว์ถูกกำหนดกว้างๆ แต่ไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนตามธรรมชาติของสัตว์แต่ละชนิด ในขณะที่ประเทศออสเตรเลียมีมาตรการเข้มงวด ตั้งแต่การออกใบอนุญาตที่ต้องมีผู้เชี่ยวชาญดูแล ไปจนถึงมาตรฐานการเลี้ยงดูที่ต้องสอดคล้องกับพฤติกรรมธรรมชาติของสัตว์

เส้นทางสู่การปฏิรูป  เพื่อปกป้องสัตว์ป่าอย่างแท้จริง ผู้เชี่ยวชาญเสนอว่า ไทยควร ปรับปรุงกฎหมายคุ้มครองสัตว์ป่าในสวนสัตว์ โดยเฉพาะในประเด็นต่อไปนี้ เพิ่มความเข้มงวดในการออกใบอนุญาต เช่น ต้องมีผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์ป่ารับผิดชอบ บังคับให้รายงานข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพ การให้อาหาร พฤติกรรม และการคุมกำเนิดสัตว์ จัดทำ มาตรฐานกลาง ในการดูแลสัตว์ป่าในสวนสัตว์ ครอบคลุมเรื่องที่อยู่อาศัย อาหาร การเคลื่อนย้าย และการรักษาโรค  ใช้องค์ความรู้จากนักวิทยาศาสตร์และสัตวแพทย์เป็นฐานในการออกข้อกำหนด

สวนสัตว์จะไม่ใช่เพียง “สถานที่จัดแสดงสัตว์” อีกต่อไป หากแต่เป็น สถาบันอนุรักษ์ที่แท้จริง การยกระดับกฎหมายและมาตรฐานการดูแลสัตว์คือก้าวสำคัญที่ไทยต้องทำ เพื่อไม่ให้สวนสัตว์กลายเป็นพื้นที่ “คุมขังสัตว์” แต่กลับกลายเป็น “ที่พึ่งของสัตว์ป่า” และเป็นพื้นที่เรียนรู้ที่มีคุณค่าต่อทั้งสัตว์และมนุษย์

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์