รณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พร้อมด้วยลูกชายของอลงกต พลมุข อดีตข้าราชการซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว นำหลักฐานเข้าแจ้งเอาผิด “อดีตพระอลงกต” ต่อกองบังคับการปราบปราม หลังถูก “อดีตพระอลงกต” นำชื่อและเลขประจำตัวประชาชนไปกรอกในใบสุทธิขณะไปบวชเป็นพระ
รณณรงค์ ให้สัมภาษณ์ว่า “การมาแจ้งความในครั้งนี้มีความกังวลว่าเลขบัตรประชาชนของผู้เสียชีวิตอาจถูกนำไปผูกโยงกับบัญชีอื่น ๆ หรืออาจถูกนำไปใช้ในการกระทำทุจริต ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะสร้างความเสียหายและเสื่อมเสียต่อวงศ์ตระกูลและครอบครัวของผู้เสียชีวิต”

ด้านลูกชายของอลงกต ยืนยันว่า “บิดาไม่เคยใช้โมบายแบงก์กิ้ง และไม่มีการผูกบัญชีธนาคารใดกับบริการพร้อมเพย์ เนื่องจากเป็นคนระมัดระวังและหวาดกลัวเรื่องการทำธุรกรรมออนไลน์ โดยทุกครั้งที่ทำธุรกรรมจะเดินทางไปที่ธนาคารหรือใช้บริการผ่านตู้เอทีเอ็มเท่านั้น”
ในส่วนของ “เฉลิมพล พลมุข” ประธานมูลนิธิธรรมรักษ์นั้น ลูกชายอลงกต เล่าถึงความสัมพันธ์ไว้ว่า “รู้จักกันเมื่อปี 2565 ขณะไปเรียนวิชาจริยธรรมกับชีวิตที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นวิชาในสายมนุษยศาสตร์ที่ลงทะเบียนเพื่อปรับเกรด เมื่อเห็นว่านามสกุลตรงกันจึงสอบถามและทราบว่ามีความเกี่ยวดองเป็นเครือญาติ หลังจากนั้นแม้ไม่ได้ติดต่อกันใกล้ชิด แต่ก็พบกันบ้างในงานศพของญาติ เช่น งานศพน้องชายบิดา งานศพบิดา และงานศพย่า รวมถึงเคยมีการส่งบทความข่าวเกี่ยวกับผู้ป่วยเอชไอวีจากวัดพระบาทน้ำพุมาให้ดูบ้างเท่านั้น”


ลูกชายนายอลงกต กล่าวอีกว่า “ตลอดเวลาที่รู้จัก เฉลิมพล ไม่เคยบอกว่าเป็นประธานมูลนิธิธรรมรักษ์ และไม่เคยเปิดเผยบทบาทที่แท้จริง แต่เคยชักชวนตนไปช่วยเก็บเงินจากตู้บริจาคของวัดจำนวน 2 ครั้ง โดยให้โกยเงินจากตู้ลงผ้าขาวก่อนที่จะมีผู้นำไปส่งต่อให้วัด ตนไม่ได้เดินทางไปวัดต่อ แต่กลับบ้าน และยังได้รับเบี้ยเลี้ยงพร้อมเซ็นชื่อรับเงินไว้ด้วย แม้ไม่มีเอกสารยืนยันเก็บไว้ ขณะนั้นเข้าใจเพียงว่า เฉลิมพล เป็นศิษย์วัดเท่านั้น”
“ต่อมาเมื่อยืนยันได้ว่าเป็นเครือญาติกัน ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนช่องทางการติดต่อ โดยตนเอง ได้ให้ข้อมูลของตนเองและของบิดาไว้ แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่า เฉลิมพล เคยพบปะกับบิดา หรือโทรหาบิดาตนเองหรือไม่”
“รู้จักพ่อผมไหม แล้วเอาข้อมูลพ่อผมไปใช้ได้อย่างไร”
— ลูกชาย อลงกต (ผู้เสียชีวิต) ฝากคำถามไปถึงเฉลิมพล
ด้าน รณณรงค์ กล่าวเสริมว่า “การแจ้งความครั้งนี้เน้นให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีกับการใช้เอกสารปลอม และการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานหรือหน่วยงานอื่น ๆ รวมถึงธนาคาร ซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัดว่าชื่อของอลงกต พลมุขถูกนำไปใช้ในกรณีใดบ้าง ดังนั้นในฐานะทายาทโดยชอบ ลูกชายของผู้เสียชีวิตจึงต้องการดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเต็มรูปแบบ”

ส่วนประเด็นของใบสุทธิ แม้จะไม่ใช่เอกสารทางราชการ แต่ก็ถือว่ามีความเสียหาย อย่างไรก็ตาม รณณรงค์ ระบุว่า “ในส่วนนี้อาจหมดอายุความแล้ว เหลือเพียงการติดตามว่ามีการนำเอกสารที่มีข้อมูลอันเป็นเท็จไปใช้ในกรณีใด เช่น การเปิดบัญชีธนาคาร หากยังอยู่ในอายุความก็สามารถดำเนินคดีได้ เพราะแม้ใบสุทธิจะออกโดยพระอุปัชฌาย์ แต่เมื่อนำข้อมูลเท็จไปใช้ย่อมเข้าข่ายความผิดตามกฎหมาย”
