ผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee - GBC) เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา ไทย-กัมพูชา ลงนามหยุดยิงร่วมกันอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางผู้สังเกตการณ์จากประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯและจีน ทำให้ประชาชนผู้อพยพกำลังได้กลับคืนสู่ภูมิลำเนา แต่จากการ พูดคุยกับผู้อพยพหลายคน ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า แม้ทางจังหวัดและกองทัพจะอนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่ก็ยังมีความหวาดระแวง ไม่ไว้ใจสถานการณ์ และไม่เชื่อคำพูดของผู้นำกัมพูชาว่า “จะหยุดยิงตามที่ตกลงหรือไม่”


สุทินา สัตปานนท์ หนึ่งในชาวบ้านตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ที่อพยพออกจากในพื้นที่ปะทะตั้งแต่เช้าวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา เล่าย้อนประสบการณ์หนีตายหลายครั้ง
“เช้าวันที่ 24 กรกฎา เวลา 7 โมง กำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว ได้ยินเสียงปืนดังสนั่น ไม่ไกลจากหมู่บ้าน ทุกคนต่างแตกตื่น หลังจากนั้นไม่นาน ผู้นำชุมชนได้ประกาศผ่านหอกระจายข่าวประจำหมู่บ้าน ให้ลูกบ้านอพยพออกจากพื้นที่ด่วน บางคนหนีไปอยู่บ้านญาติ บางคนก็ต้องไปอยู่ที่ศูนย์อพยพที่ทางการเตรียมไว้”
“ที่ผ่านมาพื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชา โดยเฉพาะบ้านตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ซึ่งอยู่ใกล้ปราสาทตาเมือนธม มีการปะทะกันหนักๆถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกตั้งแต่จำความได้คืออายุ 10 ขวบ หรือประมาณ 50 ปีก่อน คือเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เมขรแดง มีการเผาบ้านเรือนประชาชน มีการเผาตลาดนิคมบ้านกรวด เนื่องจากเมขรแดงหนีข้ามประเทศมาฝั่งไทย บุกมาถึงบ้านตาเมียง จนต้องหลบเข้าบังเกอร์”
“ส่วนครั้งที่สอง คือปี 2554 เหตุการณ์ปะทะกรณีพิพาทเขาพระวิหาร ก็มีการยิงปะทะตามแนวชายแดน และครั้งที่ 3 คือล่าสุด เหตุการณ์ปะทะที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่24 กรกฎาคม นับเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เพราะมีการยิงกระสุน BM-21 เข้ามาใส่หมู่บ้าน ชุมชน โรงพยาบาล ในพื้นที่ 4 จัง หวัดอีสานใต้ ทั้ง จ.อุบลฯ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และบุรีรัมย์ จนต้องหนีตายอพยพมาอยู่พักพิงชั่วคราวนานกว่า 2 สัปดาห์”

สุทินา ยอมรับว่า แม้จะได้กลับบ้านตามคำสั่งของทางจังหวัดและกองทัพ แต่ในใจลึกๆยังรู้สึกกลัว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งสร้างรอยแผลและความหวาดระแวง มีความกังวล กลัวว่าทหารกัมพูชาจะตลบหลังอีก
“หนักใจเพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กลัวปืนใหญ่ของกัมพูชา เพราะเชื่อถืออะไรไม่ได้ แม้จะจะมีการลงนามหยุดยิงร่วมกันก็ตาม ได้แต่พึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือเหรียญหลวงปู่หงส์ ที่ศรัทธานับถือ ห้อยคอตลอดเวลาอธิษฐานให้ตัวเองและครอบครัวแคล้วคลาดปลอดภัย ส่วนตัวไม่เคยคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์สู้รบขึ้นอีก เพราะชายแดนไทย-กัมพูชา สงบมานานกว่า 14 ปี หลังจากเหตุการณ์เขาพระวิหารเมื่อปี 2554 แต่อาจจะมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ก็ไม่รุนแรงเหมือนครั้งนี้”
“ปกติทำอาชีพขายข้าวแกง ขายเสื้อผ้าตลาดนัดในหมู่บ้าน ได้เงินวันละ 300-500บาท พอมาอยู่ที่ศูนย์พักพิง ก็ไม่มีรายได้ 2 สัปดาห์ หวังว่ารัฐบาลจะช่วยเยียวยา เพราะไม่มีเงินดำรงชีพ หากย้อนกลับไปตอนที่ยังไม่มีการปะทะ ชาวบ้าน ร้านค้า แถวปราสาทตาเมือนธมคึกคัก เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาจากทั่วสารทิศวันละหลายพันคน ยังรู้สึกดีที่บ้านเรามีความเจริญขึ้น มีนักท่องเที่ยวเข้ามา คิดว่าจะไปขายของที่ปราสาทตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด ซึ่งอยู่ใกล้กัน น่าจะได้เงินเยอะเพราะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาตลอด แต่เสียดายกลับเกิดเหตุการณ์ปะทะกันขึ้นก่อน ความหวังเลยพังทลาย” สุทินา เล่าด้วยความสิ้นหวัง


ด้าน เอกอนันต์ ศรีอินทร์ นายอำเภอพนมดงรัก กล่าวว่า สำหรับผู้อพยพทั้งหมดของอำเภอพนมดงรัก ประมาณ 21,000 คน มีการทยอยกลับภูมิลำเนา แต่พื้นที่ที่เป็นห่วงคือ ต.ตาเมียงและ ต.บักได เนื่องจากเป็นพื้นที่ติดเขตชายแดนไทยกัมพูชา และเป็นพื้นที่กระสุนตก
“จากการปะทะที่ผ่านมาพบว่า มีกระสุนจากฝั่งกัมพูชามาตกในพื้นที่ของอำเภอพนมดงรัก ที่ตรวจสอบได้จำนวนกว่า 228 ลูก และยังมีลูกกระสุนที่ยังไม่แตกอีก จำนวน 8 ลูก ทำลายไปแล้ว 1 ลูก ซึ่ง 2 ตำบลนี้ มีกระสุนตกมากที่สุด ก็อยากจะขอความร่วมมือประชาชน หากพบเห็นพื้นที่หลุมขนาดใหญ่ หรือร่องรอยการถูกกระสุนทั้งในหมู่บ้านหรือพื้นที่การเกษตร ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบ”


ขณะที่ ชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ กล่าวว่า ขณะนี้ในอำเภอพื้นที่กระสุนตก ได้ทำการเคลียร์พื้นที่ จากทั้งหน่วย EOD ของตำรวจและทหาร รวมถึงชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน ก็ดูแลความสงบเรียบร้อย
“ตอนนี้พบว่า มีบางลูกที่ยังไม่สามารถทำลายได้ เนื่องจากอยู่ใกล้ชายแดน เพราะถ้าหากทำลาย ก็จะมีเสียงดังสนั่น อาจจะทำให้อีกฝ่ายเกิดความเข้าใจผิดแล้วยิงตอบโต้ จึงต้องทำอย่างระมัดระวังและมีการแจ้งเตือนประชาชนก่อนด้วย”


ส่วนแผนการรองรับประชาชนหลังจากเข้าพื้นที่ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ กล่าวว่า หลังจากนี้จะเป็นการเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู บูรณะ เยียวยา และจะมีการประกาศสิ้นสุดภัย ซึ่งต้องไปดูบ้านเรือนที่เสียหาย แม้แต่พื้นที่การเกษตรของชาวบ้าน รวมถึงสัตว์เลี้ยงก็มีความสูญเสีย โดยทางราชการมีระเบียบการจ่ายค่าชดเชย อาจจะไม่ได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็จะพยายามเติมส่วนที่เหลือให้ได้มากที่สุด เนื่องจากมีเงินบริจาคจำนวนหนึ่ง
“อย่างเช่นกรณีบ้านพังเสียหาย ตามระเบียบได้รับการเยียวยา ประมาณ 46,000 บาท ก็อาจจะนำเงินที่ภาคเอกชนบริจาคเข้าไปสบทบให้ ซึ่งรัฐบาลกำชับอยากจะเยียวยาให้กับประชาชนให้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์”
ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ยอมรับว่า ประชาชนที่มาอยู่อพยพนานกว่า 2 สัปดาห์ขาดรายได้ บางคนมีอาชีพกรีดยาง รับจ้าง รายได้ส่วนนี้ก็หายไป เมื่อกลับสู่ภูมิลำเนาก็ไม่เงินยังชีพ จึงอยากเสนอให้รัฐบาลช่วยเหลือเยียวยา
“การเยียวยาเพื่อการยังชีพเบื้องต้น อาจจะช่วยครัวเรือนละ 3000-5000 บาท เพื่อให้สามารถผ่านพ้นในระยะนี้ไปได้ ก่อนจะเข้าสู่ภาวะปกติ เพราะเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ ซึ่งเตรียมจะนำเสนอต่อรัฐมนตรีต่อไปแล้ว”
อย่างไรก็ตาม แม้ขณะนี้ผู้อพยพจะสามารถกลับภูมิลำเนาได้แล้ว แต่ทางจังหวัดได้ย้ำเตือนว่า ยังต้องช่วยเจ้าหน้าที่สอดส่องดูแลและแจ้งเตือนภัย หากพบร่องรอยความเสียหายหรือระเบิดที่ยังไม่ทำงาน ซึ่งข้อมูลของชุดอีโอดีหรือหน่วยเก็บกู้และตรวจสอบวัตถุระเบิด ได้สรุปภาพรวม 4 จังหวัดภาคอีสาน พบหลุมระเบิดกว่า 842 หลุม ส่วนใหญ่อยู่ในบ้านเรือนประชาชน ท้องไร่ท้องนา
- จ.สุรินทร์ ตรวจพบ 439 หลุม เก็บกู้แล้ว 372 หลุม
- จ.บุรีรัมย์ พบ 256 หลุม เก็บกู้แล้ว 254 หลุม
- จ.ศรีสะเกษ พบ 72 หลุม เก็บกู้ได้แล้วทั้งหมด
- และ จ.อุบลราชธานี พบ 57 หลุม เก็บกู้ได้แล้วทั้งหมดเช่นกัน

