ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 1 ศาลอ่านคำสั่งในคดีหมายเลขดำที่ อท95/2567 ระหว่าง นายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน โจทก์ นิวัติไชย เกษมมงคล อดีตคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จำเลยที่ 1 และพวกรวม 12 คนกรณีโจทก์ขอให้เปิดเผยข้อมูลในสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการจงใจแสดงรายการทรัพย์สินอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ กรณีกล่าวหา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกฯ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ไม่แสดงว่า มีนาฬิกาข้อมือมือราคาแพง จำนวนมาก และแหวนประดับดับมีค่าหลายรายการ
โดยโจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นเลขาธิการ ป.ป.ช. ตั้งแต่ปี 2564 ถึงปัจจุบัน จำเลยที่ 2 เป็นเลขาธิการป.ป.ช. ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2560 ถึงปี 2564 ขณะเกิดเหตุเดือนตุลาคม 2562 จำเลยที่ 2 เป็นเลขาธิการ
และหลังจากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาถึงที่สุด ในปี 2566 จำเลยที่ 1 เป็นเลขาธิการถึงปัจจุบัน
จำเลยที่ 3 ถึงที่ 12 ประกอบด้วย
พล.ต.อ.ดร.วัชรพล ประสารราชกิจ จำเลยที 3
ปรีชา เลิศกมลมาศ จำเลยที่ 4
พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง จำเลย ที่ 5
ณรงค์ รัฐอมฤต จำเลยที่ 6
สุภา ปิยะจิตติ จำเลยที่ 7
วิทยา อาคมพิทักษ์ จำเลยที่ 8
สุวณา สุวรรณจูฑะ จำเลยที่ 9
พล.อ.บุณยวัจน์ เครือหงส์ จำเลยที่ 10
ณัฐจักร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา จำเลยที่ 11
และ สุชาติ ตระกูลเกษมสุข จำเลยที่ 12 เป็น คณะกรรมการ ป.ป.ช.
ขณะเกิดเหตุเดือนตลาคม ปี 2562 มีจำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 เป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช.และหลังจากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาถึงที่สุดในปี 2566 มีจำเลยที่ 3 , ที่ 7 , ที่ 8 , ที่ 9 , ที่ 11 และที่ 12 เป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช. โจทก์มีหนังสือถึงจำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 ขอให้ไต่สวน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กรณีจงใจยื่นบัญชี แสดงรายการทรัพย์สินอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราย โดยไม่แสดงว่า มีนาฬิกาข้อมือมือราคาแพง จำนวนมาก และแหวนประดับดับมีค่าหลายรายการ
แต่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 มีมติไม่รับเรื่องดังกล่าวไว้ไต่สวนข้อเท็จจริง โดยโจทก์ขอข้อมูลข่าวสารของราชการเกี่ยวกับสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว 3 รายการคือ
1 . รายงานการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานเอกสารทั้งหมด
2. ความเห็นของพนักงานเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ทุกคนที่รับผิดขอบในเรื่องกล่าวหาดังกล่าว
3. รายงานการประชุมของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว
จำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 ในฐานะคณะกรรมการ ป.ป.ช. ขณะนั้น พิจารณาแล้วมีมติไม่ให้เปิดเผยรายงานการประชุมบันทึกเสนอรายงานผลการตรวจสอบ และเอกสารประกอบที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากเห็นว่า เป็นความเห็น หรือคำแนะนำ ภายในหน่วยงานของรัฐในการดำเนินการเรื่องใดเรื่องหนึ่งอันเป็นข้อมูลข่าวสารตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาวสารของราชการ พ.ศ. 2540 มาตรา 15 วรรค 1 (3) ทั้งยังอยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบเรื่องกล่าวหาพล.อ.ประวิตร ว่าเป็นเจ้าพนักงานของรัฐรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้
เรื่องกล่าวหาว่า มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งซึ่งต้องห้ามไม่ให้เปิดเผยตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 จึงเป็นข้อมูลข่าวสารที่เจ้าหน้าที่ของรัฐอาจมีคำสั่งมีให้เปิดเผยได้ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2550 มาตรา 15 (6)
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ให้ให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาวสาร ต่อมาคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร สาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมายมีคำวินิจฉัยที่ สค.333 /2562 ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2562 ให้สำนักงานป.ป.ช.เปิดเผยข้อมูลข่าวสารทั้ง 3 รายการดังกล่าว โจทก์ไปขอรับข้อมูลข่าวสาร
แต่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 มีมติให้ข้อมูลบางรายการ แต่ต้องปกปิด บางส่วน และข้อมูลบางรายการต้องขออนุญาตจากพยานเสียก่อน โจทก์ฟ้องสำนักงาน ป.ป.ช. และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อศาลปกครองชั้นต้น ศาลปกครองกลางพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องทั้ง 2 เปิดเผยข้อมูลข่าวสารรายการที่ 1 รายการที่ 2 เฉพาะความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่เสนอประกอบการพิจารณาของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 และรายการที่ 3 แก่โจทก์ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย
ผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องทั้ง 2 ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น จึงอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องทั้งสองเปิดเผย ข้อมูลข่าวสารทั้ง 3 รายการตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคมการบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย แต่จำเลยที่ 1, ที่ 3, ที่ 7, ที่ 8, ที่ 9, ที่ 11 และที่ 12 ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ระหว่างพิจารณาโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 4 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 อนุญาต และจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 4 ออกจากจากสารบบความ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 พิจารณาหนังสือของโจทก์ที่ขอข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีการกล่าวหาพล.อ. ประวิตร จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินอันอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ 3 รายการ ดังกล่าวแล้วมีมติไม่ให้เปิดเผยเอกสารตามที่โจทก์ขอ
เนื่องจากเห็นว่า เป็นความเห็นหรือคำแนะนำภายในหน่วยงานของรัฐ ในการดำเนินการเรื่องหนึ่งเรื่องใด ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 มาตรา 15 (3) และยังอยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบเรื่องกล่าวหาพล.อ. ประวิตร ว่าเป็นเจ้าพนักงานของรัฐรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ และเรื่องกล่าวหาว่า มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งต้องห้ามมิให้เปิดเผย ตามพระบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 36 จึงเป็นข้อมูลข่าวสารที่เจ้าหน้าที่ของรัฐอาจมีคำสั่งมิให้เปิดเผยได้ ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 มาตรา 15 (6)
เป็นกรณีที่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 ประชุมพิจารณามีความเห็นแล้วลงมติตามที่ พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.ศ. 2540 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง ( 3) (6) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 326 ให้อำนาจจำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 ใช้ดุลพินิจพิจารณาและลงมติได้
เมื่อโจทก์ไม่เห็นด้วยกับมติดังกล่าว พระราชบัญญัติชี้มูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 มาตรา 18 ให้สิทธิโจทก์ยื่นคำอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารได้ ซึ่งโจทก์ยืนอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการดังกล่าว และคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาชาสังคม การ บริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมายมีคำวิมีคาวินิจฉัยที่ สค. 333/2562ลงวันที่ 22 สิงหาคม 2562 ให้สำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช.เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามที่โจทก์ขอ แต่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 ในฐานะ คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติให้ข้อมูลบางรายการ แต่ต้องปิดบางส่วน หรือข้อข้อมูลบางรายการต้องขออนุญาตจาก พยานเสียก่อนแต่มิได้กำหนดวันที่จะให้ข้อมูลข่าวสารแก่โจทก์เมื่อโจทก์ขอให้คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของ ราชการบังคับสำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช.
โดยจำเลยที่ 2 ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการข้อมูล ข่าวสารของราชการ ซึ่งผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการมีหนังสือแจ้งโจทก์ว่า สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการมีหนังสือแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช.ปฏิบัติตามคำ วินิจฉัย และหากโจทก์ยังไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารครบถ้วนโจทก์สามารถใช้สิทธิฟ้องต่อศาลปกครอง
ต่อมาโจทก์ฟ้อง สำนักงาน ป.ป.ช.และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่อศาลปกครองแล้ว กระบวนการพิจารณาของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 ในการประชุม พิจารณา มีความเห็นและลงมติเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารที่โจทก์ขอ หรือการประชุมพิจารณา มีความเห็นและลงมติเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น ก่อนศาลปกครองสูงสูงสุดมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2566 เป็นวิธีการที่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 ใช้ดุลพินิจพิจารณามีความเห็นและลงมติเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาชาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 หรือต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 ซึ่งจำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 เห็นว่าเป็นกฎหมายเฉพาะและยังไม่มีข้อยุติในขณะนั้น ทำให้จำเลยที่ 3 และที่ 5 ถึงที่ 10 ใช้ ดุลพินิจพิจารณาไปตามที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 บัญญัติไว้ก่อนศาลปกครองสูงสูงสุดจะมีคำวินิจฉัยในประเด็นที่โจทก์และจำเลยที่ 3 ถึงที่ 10 โต้แย้งและมีความเห็นไม่ตรงกันดังกล่าว
ดังนั้น การที่จำเลยที่ 3 และที่ 5 ถึงที่10 ใช้ดุลพินิจพิจารณาและมีมติเกี่ยวกับคำขอให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารของโจทก์ โดยเห็นว่าต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 บัญญัติไว้ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นการปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตที่โจทก์ฟ้องจำเลย ที่ 3 และที่ 5 ถึงที่ 10 ว่ากระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 ในช่วง เวลาก่อนศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาจึงไม่มีมูล
สำหรับจำเลยที่ 2 ในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา148, 151 กำหนดให้เลขาธิการรับผิดชอบปฏิบัติงานโดยขึ้นตรงต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. และต้องปฏิบัติงานตามมติ คณะกรรมการ ป.ป.ช การดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องข้อมูลข่าวสารที่โจทก์ขอ จำเลยที่ 2 ต้องปฏิบัติตามมติของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำไปโดยลำพัง แต่ฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.เกี่ยวกับการเปิดเผยหรือไม่เปิดเผยเอกสารที่โจทก์ขอ การกระทำของจำเลยที่ 2 ที่ปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีใช่เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้ เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ดังนั้น ที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ถึงที่ 10 ว่ากระทำความผิดในช่วงเวลาก่อนศาลปกครอง สูงสุดมีคำพิพากษาจึงไม่มีมูล แต่หลังจากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2566 คำพิพากษา ของศาลปกครองสูงสุดย่อมผูกพันสำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ข้อเท็จจริงจากการ ไต่สวนได้ความว่า จำเลยที่ 1, ที่ 3, ที่ 7, ที่ 8, ที่ 9, ที่ 11 และที่ 12 ยังมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล ปกครองสูงสุดที่พิพากษาให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารทั้งสามรายการ ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการ เปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมายที่ สค.333/2562 แก่โจทก์ ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีพิพากษา
โดยจำเลยที่ 1, ที่ 3, ที่ 7, ที่ 8, ที่ 9, ที่ 11 และที่ 12 ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 125 บัญญัติไว้ ได้ความจากมติการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ครั้งที่45/2566 ลงวันที่ 25 เมษายน 2566 ว่าที่ประชุมรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขดำที่ อ.798/2564 คดีหมายเลขแดงที่อ.224/2566 แต่จำเลยที่3, ที่ 7, ที่ 8, ที่ 9, ที่ 11 ซึ่งเป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช.ฝ่ายเสียงช้างมากมีมติให้มีหนังสือชี้แจงหรือขอพิจารณาคดีใหม่ต่อศาลปกครองสูงสุด พร้อมกับขอทุเลาการบังคับคดีตามคำพิพากษา และมีหนังสือขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 ส่วนจำเลยที่ 12 ฝ่ายเสียงข้างน้อยเห็นควรดำเนินการตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
และในการประชุมครั้งที่ 127 /2566ลงวันที่ 4 ธ.ค.2566 จำเลยที่ 3,7,8 ฝ่ายเสียงข้างมากมีมติให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร แต่ให้ปกปิดข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลที่เป็นรายละเอียดของผู้กล่าวหา ผู้แจ้งเบาะแส และพยาน โดยจำเลยที่ 9 เเละ 12 ฝ่ายเสียงข้างน้อยเห็นควรให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
พฤติการณ์การกระทำของจำเลยที่ 3,7,8,11 ที่ลงมติไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ของศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว จึงมีมูลว่าเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมายเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157ประกอบมาตรา 83 ส่วนจำเลยที่ 9,12 มีความเห็นและลงมติให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด การกระทำของจำเลยที่ 9,12จึงไม่มีมูลเป็นความผิดตามฟ้อง
ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นเลขาธิการสำนักงาน ปปช.ซึ่ง พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯมาตรา 148, 151กำหนดให้เลขาธิการรับผิดชอบปฏิบัติงานโดยขึ้นตรงต่อและต้องปฏิบัติงานตามมติคณะกรรมการ ปปช. ซึ่งข้อเท็จจริงจากการไต่สวนฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำไปโดยลำพัง แต่ฟังได้ว่า ปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการ ปปช.
การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงมิใช่เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา157 จึงให้ประทับฟ้องจำเลยที่ 3,7,8,11 ไว้พิจารณา ยกฟ้องจำเลยที่ 1,2,5,6,9,10,12
ศาลนัดพร้อมเพื่อสอบคำให้การและกำหนดวันนัดพิจารณา ในวันที่ 28 ตุลาคม 2568