ลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทย ในฐานะองค์กรด้านความงามชั้นนำของโลก ประกาศสนับสนุนบทบาทนักวิจัยสตรีในสายงานวิทยาศาสตร์อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 23 ด้วยการมอบทุนวิจัยมูลค่า 250,000 บาท พร้อมโล่เกียรติคุณ ให้กับนักวิจัยสตรี 4 ท่านผู้ได้รับทุนในโครงการทุนวิจัย ลอรีอัล ประเทศไทย “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” (For Women in Science) ประจำปี 2568
โดยมุ่งสนับสนุนบทบาทของนักวิจัยสตรี พร้อมส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงรุ่นใหม่ในแวดวงวิทยาศาสตร์ ผู้มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนวงการวิทยาศาสตร์ไทยทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และความยั่งยืน อันสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของลอรีอัลซึ่งมุ่งสร้างความงามที่ขับเคลื่อนโลก ผ่านการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาที่มีศักยภาพในการสร้างคุณปการให้กับสังคมในอนาคต ควบคู่กับการสร้างความตระหนักรู้ถึงบทบาทและผลงานของนักวิจัยสตรี และผลักดันสังคมสู่ความเท่าเทียมทั้งในระดับประเทศและระดับโลก
นายแพทริค จีโร กรรมการผู้จัดการลอรีอัล ประเทศไทย พม่า ลาว และกัมพูชา กล่าวว่า ลอรีอัล กรุ๊ป เชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในพลังของวิทยาศาสตร์เพื่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมและการขับเคลื่อนโลก เราจึงให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาในหลายมิติ พร้อมกันนี้ เรายังยึดมั่นในพันธกิจด้านการเสริมสร้างศักยภาพสตรี ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างสรรค์อนาคตที่เท่าเทียมและก้าวหน้า ในระดับโลกนั้น นักวิทยาศาตร์สตรีมีเพียงจำนวน 1 ใน 3
แต่สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ระบุว่ามีสัดส่วนของผู้หญิงอยู่ในแวดวงวิทยาศาสตร์หรือสายงาน STEM เฉลี่ยสูงถึง 45% ซึ่งนับเป็นตัวเลขที่โดดเด่นในเวทีโลก ตัวเลขดังกล่าวได้พิสูจน์แล้วว่าบทบาทสตรีและความเท่าเทียมทางเพศในแวดวงวิทยาศาสตร์นั้นเป็นจริงได้ นับเป็นแบบอย่างที่จะส่งต่อแรงบันดาลใจและจุดประกายความหวังให้กับสตรีทั่วโลก
“เพราะเราเชื่อว่าโลกต้องการวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ต้องการสตรี ลอรีอัลจึงเดินหน้าเชิดชูเกียรติผลงานวิจัยอันโดดเด่นของสตรีผ่านโครงการ “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” อย่างต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 23 เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงรุ่นใหม่ที่ต้องการเติบโตในสายงานวิทยาศาสตร์ และแสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่าผู้หญิงทุกคนสามารถเปล่งประกายได้ในแบบของตนเอง”
งานประกาศมอบทุนเชิดชูเกียรตินักวิทยาศาสตร์สตรีทั้ง 4 ท่าน จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่พร้อมพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการนวัตกรรมความงาม “INNOFEST 2025” นำเสนอความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในผลิตภัณฑ์ บริการความงาม Beauty Tech รวมถึงเผยข้อมูล L'Oréal Longevity Integrative Science™ ศาสตร์แห่งการดูแลสุขภาพเพื่อชีวิตที่ยืนยาวแบบบูรณาการเอกสิทธิ์เฉพาะของลอรีอัล กรุ๊ป
ซึ่งมาจากการวิจัยด้าน Longevity มานานกว่า 15 ปี เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงทางชีวภาพ เพื่อชะลอความเสื่อมอายุเซลล์ผิว และมีสร้างแผนที่ชีวภาพสำหรับผิวครั้งแรกที่เรียกว่า Longevity AL Cloud™ ที่สามารถวิเคราะห์ปัจจัยบ่งชี้ต่างๆ และวิถีชีวภาพเพื่อการคาดการณ์ผลลัพธ์ของส่วนผสมที่มีต่อ 9 ปัจจัยบ่งชี้สำคัญของการเกิดริ้วรอยแห่งวัย สำหรับการสร้างโซลูชันความงามเชิงรุกที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อผิวอ่อนเยาว์ ผ่านการผสานความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัยไว้ด้วยกัน ตามเป้าหมายในการสร้างสรรค์ความงามที่ขับเคลื่อนโลก

ทุนวิจัยฯ 4 ทุน มอบแก่นักวิจัยสตรี 4 ท่าน ใน 2 สาขา
สาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ จำนวน 2 ท่าน
ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ จากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)กับงานวิจัยหัวข้อ “การพัฒนาวัคซีนต้นแบบและแพลตฟอร์มพื้นฐานการวิจัย เพื่อการควบคุมและป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรอย่างยั่งยืนในประเทศไทย”
ดร.มัตถกา คงขาว จากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กับงานวิจัยหัวข้อ “อนุภาคนาโนดัดแปลงพื้นผิวนำส่งยาแบบมุ่งเป้าสำหรับการรักษาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง”
สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ จำนวน 2 ท่าน
รศ.ดร.พิชชา จองวิวัฒสกุล หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างจากภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับงานวิจัยหัวข้อ “การพัฒนาคอนกรีตคาร์บอนต่ำจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้างที่ยั่งยืน”
ดร.รงรอง เจียเจริญ นักวิจัยชำนาญการจากสถาบันวิจัยโลหะและวัสดุ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับงานวิจัยหัวข้อ “การพัฒนาโซลาร์เซลล์ประสิทธิภาพสูง ต้นทุนต่ำ และแบตเตอรี่ปลอดภัย ผ่านวัสดุยั่งยืนและกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อความมั่นคงทางพลังงานและสังคมคาร์บอนเป็นศูนย์”
4 นักวิจัยสตรีผู้มีผลงานอันโดดเด่นที่ได้รับทุนโครงการฯ ประจำปี 2568
ดร.สพ.ญ.ฌัลลิกา แก้วบริสุทธิ์ จากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผู้ได้รับทุนสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ กล่าวว่า “โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (ASF) สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจให้แก่อุตสาหกรรมสุกรไทยมูลค่ากว่า 1.5 แสนล้านบาท ประเทศไทยยังขาดทั้งวัคซีนและเครื่องมือพื้นฐานที่จำเป็นในการรับมือและพัฒนามาตรการควบคุมโรค งานวิจัยชิ้นนี้จึงมุ่งเน้นการพัฒนาวัคซีนต้นแบบป้องกันโรค ASF และแพลตฟอร์มเทคโนโลยีพื้นฐานที่สำคัญเพื่อสร้างความเข้มแข็งและศักยภาพภายในประเทศ ในส่วนของการพัฒนาวัคซีน พบว่า วัคซีนต้นแบบ ASF ชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ มีศักยภาพสูงสุดในการป้องกันโรค
โดยได้มีการทดสอบและประเมินประสิทธิผล ความปลอดภัย ผลข้างเคียง และการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันอย่างเป็นระบบในสุกร ภายใต้ความร่วมมือกับกรมปศุสัตว์ เกษตรกร และสัตวแพทย์ควบคุมฟาร์ม เพื่อศึกษาปัจจัยต่างๆ อย่างรอบด้าน ผลการศึกษาเบื้องต้นชี้ว่า วัคซีนต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์มีประสิทธิผลสูง สามารถป้องกันโรค ASF ได้ถึง 70–100% และมีความปลอดภัย แม้ใช้ในขนาดโดสที่สูงก็ไม่ก่อให้เกิดโรครุนแรง ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนหารือกับกรมปศุสัตว์และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมการทดสอบในระดับฟาร์มจริง ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการควบคุมโรค ASF เพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมสุกรและคืนอาชีพให้กับเกษตรกรทั่วประเทศ
นอกเหนือจากการพัฒนาวัคซีน เรายังได้สร้างเครื่องมือทางเทคโนโลยีที่เป็นรากฐานสำหรับการวิจัยและพัฒนา ได้แก่ การพัฒนา recombinant ASFV virus (ASFV001_mChNLuc) ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อให้เป็นเสมือนห้องทดลองขนาดเล็กสำหรับศึกษากลไกของไวรัสและเร่งกระบวนการคัดกรองยาหรือพัฒนาวัคซีนได้อย่างรวดเร็ว การพัฒนาเซลล์ไลน์จากมาโครฟาจและเซลล์ไตสุกร เพื่อรองรับการเพาะแยกเชื้อไวรัส ASF และใช้ในการผลิตวัคซีนต้นแบบชนิดเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ในระดับขยายขนาด
รวมถึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการศึกษากลไกภูมิคุ้มกันและการตอบสนองต่อการติดเชื้อของไวรัสในระดับเซลล์ ในระยะยาว องค์ความรู้และแพลตฟอร์มเทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาวัคซีนสัตว์และยาต้านไวรัสอื่นๆ ได้ด้วยตนเองในอนาคต ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างความมั่นคงทางชีวภาพและยกระดับขีดความสามารถของประเทศให้พร้อมรับมือกับโรคอุบัติใหม่ที่อาจเกิดขึ้นในวันข้างหน้าได้อย่างยั่งยืน”
ดร.มัตถกา คงขาว จากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ผู้ได้รับทุนสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ กล่าวว่า “โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น มะเร็ง โรคสมองเสื่อม เบาหวาน ไขมันและหลอดเลือด เป็นสาเหตุการเสียชีวิตมากกว่า 70% ของอัตราการเสียชีวิตทั่วโลก ในประเทศไทยเองพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตมากกว่า 75% ของอัตราการเสียชีวิตต่อปี อีกทั้งประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องรับมือกับกลุ่มโรค NCDs
งานวิจัยนี้จึงมุ่งศึกษาการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนาโนมาพัฒนาระบบนำส่งที่สามารถดัดแปลงพื้นผิว (surface-modified lipid nanocarriers) เพื่อช่วยนำส่งยาไปสู่เป้าหมายได้อย่างเฉพาะเจาะจง ควบคุมการปลดปล่อยยา เพิ่มเสถียรภาพของสาระสำคัญ
นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการขยายขนาดการผลิตอนุภาคนาโนไขมันในระดับ Pilot Scale ทดสอบประสิทธิภาพและความเป็นพิษของอนุภาคนาโนไขมันที่พัฒนาได้ในระดับหลอดทดลอง เช่น ทดสอบประสิทธิภาพการชะลอหรือรักษาโรคอย่างการลดไขมัน ต้านการอักเสบ ต้านมะเร็ง ต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องการตายของเซลล์ประสาทหรือเซลล์สมอง เป็นต้น รวมถึงทดสอบเภสัชจลนศาสตร์ ประสิทธิภาพและความปลอดภัยในสัตว์ทดลอง เช่น การยับยั้งการเติบโตของเนื้องอก การลดระดับตัวบ่งชี้การอักเสบในระบบประสาท การลดไขมันและน้ำตาลในเลือด เป็นต้น
เป้าหมายสูงสุดของงานวิจัยนี้ไม่เพียงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการรักษากลุ่มโรค NCDs และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างแพลตฟอร์มเทคโนโลยีพื้นฐานที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การแพทย์แม่นยำของประเทศ ซึ่งองค์ความรู้นี้สามารถนำไปต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมยา สมุนไพร และเวชสำอางของไทย อันจะนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจและสร้างความมั่นคงด้านสาธารณสุขให้กับประเทศอย่างยั่งยืน"
รศ.ดร.พิชชา จองวิวัฒสกุล จากภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ได้รับทุนสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ กล่าวว่า “ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายคู่ขนานระหว่างปัญหาสิ่งแวดล้อมจากวัสดุเหลือทิ้งและการเดินหน้าสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 30–40 ภายในปี พ.ศ. 2573 และบรรลุ Net Zero Emission ภายในปี พ.ศ. 2608 ดังนั้น งานวิจัยนี้จึงมุ่งศึกษาการเปลี่ยนของเสียให้กลายเป็นทรัพยากรที่มีมูลค่า โดยยึดหลักการสำคัญคือการพัฒนา คอนกรีตคาร์บอนต่ำจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรและอุตสาหกรรม
โครงการนี้ใช้เถ้าชีวมวลซึ่งอุดมด้วยซิลิกาและอะลูมินา มาสังเคราะห์เป็น “จีโอพอลิเมอร์คอนกรีต” ซึ่งเป็นคอนกรีตที่ไม่ต้องพึ่งพาปูนซีเมนต์ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง นอกจากนี้ ยังศึกษาการบูรณาการเศษหินแกรนิตแทนทรายธรรมชาติ และใช้พลาสติกรีไซเคิลเพื่อลดการใช้มวลรวมจากแหล่งธรรมชาติ เป็นแนวทางที่ช่วยแก้ปัญหาขยะและลดการใช้ทรัพยากรไปพร้อมกัน
กระบวนการวิจัยครอบคลุมการประเมินคุณสมบัติของวัสดุอย่างรอบด้าน ทั้งด้านความสามารถในการรับแรง ความทนทาน และการวิเคราะห์โครงสร้างจุลภาค ผลลัพธ์ยืนยันว่าคอนกรีตที่พัฒนาขึ้นมีสมบัติทางวิศวกรรมที่เหมาะสมและมีศักยภาพต่อการใช้งานจริง
งานวิจัยนี้ไม่เพียงสร้างองค์ความรู้ใหม่ด้านวัสดุก่อสร้างเพื่อความยั่งยืน แต่ยังนำเสนอแนวทางจัดการของเสียจากภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมอย่างเป็นระบบ การนำผลงานวิจัยไปประยุกต์ใช้จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์อย่างมีนัยสำคัญ ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน และเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและ Net Zero Emission ได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน”
ดร.รงรอง เจียเจริญ นักวิจัยชำนาญการ จากสถาบันวิจัยโลหะและวัสดุ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ได้รับทุนสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ กล่าวว่า “สืบเนื่องจากความท้าทายด้านสภาวะโลกร้อน ปัจจุบันประเทศไทยยังคงประสบปัญหาด้านความมั่นคงทางพลังงาน งานวิจัยนี้จึงมุ่งบุกเบิกเทคโนโลยีพลังงานสะอาดผ่านวัสดุยั่งยืนและกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีหลักการสำคัญคือการพัฒนาเซลล์แสงอาทิตย์ชนิดเพอรอฟสไกต์ที่มีประสิทธิภาพสูง น้ำหนักเบา และโค้งงอได้ รวมถึงแบตเตอรี่ของแข็งที่ปลอดภัยและเก็บประจุได้มาก วิธีการวิจัยตั้งอยู่บนพื้นฐานของวัสดุศาสตร์และวิศวกรรม
โดยมุ่งเน้นการสังเคราะห์และออกแบบวัสดุใหม่จากวัตถุดิบที่หาได้ง่ายในประเทศหรือจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เพื่อใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในอุปกรณ์พลังงาน สำหรับเซลล์แสงอาทิตย์ มีการพัฒนาสูตรหมึกและกระบวนการเคลือบฟิล์มเพอรอฟสไกต์ให้มีคุณภาพสูงและมีเสถียรภาพที่เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นรากฐานสำหรับการขยายขนาดสู่การผลิตในระดับอุตสาหกรรม
ในขณะที่แบตเตอรี่จะมุ่งเน้นการใช้วัสดุทางเลือกที่ปลอดภัยและต้นทุนต่ำ เช่น สังกะสีและเหล็ก และต่อยอดไปยังแบตเตอรี่ชนิดของแข็งหรือกึ่งแข็ง (semi-solid state battery) โดยใช้วัสดุธรรมชาติเป็นพอลิเมอร์อิเล็กทรอไลต์คอมโพสิตเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและเสถียรภาพ งานวิจัยชิ้นนี้จะไม่เพียงสร้างองค์ความรู้เชิงลึกด้านเทคโนโลยีพลังงาน แต่ยังสามารถสร้างต้นแบบอุปกรณ์ที่สามารถนำไปต่อยอดใช้งานได้
นอกจากนี้ ยังบูรณาการเทคโนโลยีทั้งสองผ่านแพลตฟอร์มเพื่อใช้งานจริงในครัวเรือนและชุมชน พร้อมทดสอบความเสถียรและประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมต่างๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงพลังงานสะอาด ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และเป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนเป็นศูนย์ตามเป้าหมายของประเทศ อันเป็นการสร้างความมั่นคงทางพลังงานและส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนได้อย่างเป็นรูปธรรม”
ทั้งนี้ โครงการทุนวิจัยลอรีอัล “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” หรือ For Women in Science ริเริ่มขึ้นในปี 2541 โดย มูลนิธิลอรีอัล ด้วยความร่วมมือจากยูเนสโก แต่ละปีได้สนับสนุนนักวิจัยสตรีรุ่นใหม่มากกว่า 250 ท่าน ในโครงการระดับประเทศและระดับภูมิภาคทั่วโลก และได้มอบทุนเกียรติยศระดับนานาชาติแก่นักวิจัยสตรีระดับ Laureates ไปแล้วมากกว่า 100 ท่าน ซึ่งมีถึง 7 ท่าน ที่ก้าวสู่ความสำเร็จได้รับรางวัลโนเบล
สำหรับในประเทศไทย โครงการทุนวิจัยลอรีอัล ประเทศไทย “เพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์” มอบทุนวิจัยทุนละ 250,000 บาท ให้กับนักวิจัยสตรีที่มีอายุไม่เกิน 40 ปี ในสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ และสาขาวิทยาศาสตร์กายภาพ ลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทย ได้ดำเนินงานโครงการมาเป็นปีที่ 23 โดยมีนักวิจัยสตรีไทยที่ได้รับทุนสนับสนุนจากโครงการนี้รวมแล้วทั้งสิ้น 91 ท่าน จากกว่า 20 สถาบันในประเทศไทย



