(6 พฤศจิกายน 2568) เวลา 13.30 น. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ออกประกาศแจ้งเตือน 66 จังหวัด ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ และกรุงเทพมหานคร เฝ้าระวังอิทธิพลจากพายุ ‘คัลแมกี’ อาจส่งผลให้เกิดสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง น้ำท่วมขัง และคลื่นลมแรง ในช่วงวันที่ 7 – 9 พฤศจิกายน นี้

โดย ปภ. จัดทีมปฏิบัติการและเครื่องจักรกลสาธารณภัยเข้าประจำพื้นที่เสี่ยงเพื่อเข้าเผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทันทีที่เกิดภัย โดยเฉพาะพื้นที่จุดเสี่ยงที่เคยเกิดน้ำท่วมบ่อยครั้ง และพื้นที่ที่ยังมีสถานการณ์น้ำท่วมอยู่ ให้เร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่อย่างเต็มกำลัง เพื่อลดผลกระทบจากเหตุอุทกภัยให้ได้มากที่สุด รวมถึงแจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยทราบล่วงหน้า และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนปฏิบัติตามประกาศแจ้งเตือนภัยจากทางราชการอย่างเคร่งครัด
ทั้งนี้ ปภ.ได้ติดตามสภาวะอากาศและพิจารณาปัจจัยเสี่ยง โดยพื้นที่เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง และน้ำท่วมขัง ในระหว่างวันที่ 7 – 9 พฤศจิกายน 2568 แยกเป็นดังนี้
ภาคเหนือ จำนวน 17 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน อุตรดิตถ์ ตาก สุโขทัย กำแพงเพชร พิษณุโลก พิจิตร เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ และจังหวัดอุทัยธานี
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 20 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเลย หนองคาย บึงกาฬ หนองบัวลำภู อุดรธานีสกลนคร นครพนม ชัยภูมิ ขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ มุกดาหาร ร้อยเอ็ด ยโสธร อำนาจเจริญ นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และจังหวัดอุบลราชธานี
ภาคกลาง จำนวน 23 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ปทุมธานี นนทบุรี นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และจังหวัดสมุทรปราการ
ภาคใต้ จำนวน 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และจังหวัดสตูล
กรุงเทพมหานคร เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วมขัง
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ได้ประสานแจ้ง 66 จังหวัด ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ และกรุงเทพมหานคร รวมถึงศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตในพื้นที่เสี่ยงภัยให้เตรียมพร้อมรับมือกับปริมาณฝนที่ตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ ซึ่งอาจทำให้เกิดสถานการณ์อุทกภัยได้
โดยได้กำชับให้จัดเจ้าหน้าที่ติดตามสภาพอากาศ ปริมาณฝน และสถานการณ์น้ำในพื้นที่อย่างใกล้ชิด พร้อมกำชับให้จัดทีมปฏิบัติการพร้อมเครื่องจักรกลสาธารณภัยเข้าประจำพื้นที่เสี่ยง เพื่อเข้าเผชิญเหตุและให้การช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที โดยเฉพาะในบริเวณพื้นที่เสี่ยงและบริเวณที่มีฝนตกสะสมมากกว่า 90 มิลลิเมตร ใน 24 ชั่วโมง พื้นที่จุดเสี่ยงที่เคยเกิดน้ำท่วมบ่อยครั้ง และพื้นที่ที่ยังมีสถานการณ์น้ำท่วมอยู่ ให้เร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่อย่างเต็มกำลัง เพื่อลดผลกระทบจากเหตุอุทกภัยให้ได้มากที่สุด
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ โดยเฉพาะถ้ำน้ำตก ถ้ำลอด หากมีความเสี่ยงเกิดสถานการณ์ภัยให้ประกาศแจ้งเตือนและปิดกั้นพื้นที่ไม่ให้บุคคลใดเข้าพื้นที่ ในกรณีที่มีคลื่นลมแรง ขอให้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกประกาศหรือติดตั้งสัญญาณแจ้งเตือนบริเวณชายฝั่งทะเล ห้ามนักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำทะเลโดยเด็ดขาด และให้แจ้งชาวเรือ ผู้บังคับเรือ และผู้ประกอบการเดินเรือโดยสาร เพิ่มความระมัดระวังในการเดินเรือ หากสถานการณ์มีแนวโน้มรุนแรง ให้พิจารณาห้ามเดินเรือเด็ดขาด
พร้อมกันนี้ให้จัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงภัย และพร้อมเข้าเผชิญเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบภัยทันทีหากเกิดสถานการณ์ขึ้น ตลอด 24 ชั่วโมง และขอให้จังหวัดประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนติดตามข้อมูลสภาวะอากาศและข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด รวมถึงแจ้งเตือนประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยทราบล่วงหน้าเพื่อให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์โดยปฏิบัติตามคำแนะนำจากทางราชการอย่างเคร่งครัด

ปภ.ประสาน 10 จังหวัดภาคกลาง-กทม. เฝ้าระวังระดับน้ำเจ้าพระยาเพิ่ม เตรียมพร้อมขนของขึ้นที่สูง
ขณะเดียวกัน ปภ.ได้ประสาน 10 จังหวัดภาคกลาง ได้แก่ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี และสมุทรปราการ รวมถึงกรุงเทพมหานคร เฝ้าระวังสถานการณ์ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น โดยให้จัดเจ้าหน้าที่ติดตามเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ
พร้อมประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา จุดเสี่ยงที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำให้เฝ้าระวังระดับน้ำและเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำ รวมถึงแจ้งจังหวัดประสานท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบแนวคันกั้นน้ำ จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรกลด้านสาธารณภัย เจ้าหน้าที่ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ และเตรียมความพร้อมปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือประชาชน ตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งนี้ ปภ.ในฐานะกองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) ได้รับแจ้งจาก กรมชลประทาน ว่า ได้คาดการณ์ปริมาณน้ำไหลผ่านสถานี C.2 อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อยู่ในเกณฑ์ประมาณ 2,600 - 2,800 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และคาดการณ์แม่น้ำสะแกกรังปริมาณน้ำไหลผ่านสถานี Ct.19 จังหวัดอุทัยธานีและลำน้ำสาขา อยู่ในเกณฑ์ประมาณ 450 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งจะทำให้ปริมาณน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยามีปริมาณน้ำระหว่าง 3,050 – 3,250 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที การรับน้ำเข้าระบบชลประทานทั้งสองฝั่งรวม 550 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
จากสถานการณ์ดังกล่าว จึงปรับเพิ่มปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาจากเดิมไม่เกิน 2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เป็นไม่เกิน 2,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แบบขั้นบันได
โดยปริมาณน้ำจะส่งผลให้ระดับน้ำตั้งแต่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบันอีกประมาณ 0.60 - 0.90 เมตร ในพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ ดังนี้
คลองโผงเผง จังหวัดอ่างทอง คลองบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตำบลหัวเวียง อำเภอเสนา ตำบลลาดชิด ตำบลท่าดินแดง อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (แม่น้ำน้อย) จังหวัดสิงห์บุรี บริเวณอำเภอเมืองสิงห์บุรี อำเภออินทร์บุรี และอำเภอพรหมบุรี- จังหวัดอ่างทอง บริเวณอำเภอไชโย และอำเภอป่าโมก จังหวัดชัยนาท บริเวณอำเภอสรรพยา
กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) จึงได้ประสาน 10 จังหวัดภาคกลาง ได้แก่ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี และสมุทรปราการ รวมถึงกรุงเทพมหานคร เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ
พร้อมประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชนที่ประกอบกิจการในแม่น้ำ อาทิ งานก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง แพร้านอาหาร ท่าเทียบเรือโดยสารสาธารณะ ตลอดจนประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ริมสองฝั่งแม่น้ำและบริเวณจุดเสี่ยงที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำให้เฝ้าระวังระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นและเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำ รวมถึงเตรียมพร้อมในการขนย้ายสิ่งของขึ้นที่สูงให้พ้นจากแนวน้ำท่วม
นอกจากนี้ ยังได้ประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ตรวจสอบแนวคันกั้นน้ำและแนวป้องกันน้ำท่วมให้มีความแข็งแรง เพื่อป้องกันระดับน้ำล้นข้ามแนวคันกั้นน้ำ อีกทั้งจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักรกลด้านสาธารณภัย เพื่อเตรียมความพร้อมปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง
สำหรับประชาชน ขอให้ติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด และเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ภัยที่อาจเกิดขึ้น และหากได้รับความเดือดร้อนจากสาธารณภัย สามารถแจ้งเหตุและขอความช่วยเหลือได้ทางไลน์ “ปภ.รับแจ้งเหตุ 1784” โดยเพิ่มเพื่อน Line ID @1784DDPM และสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ประชาชนยังสามารถติดตามประกาศการแจ้งเตือนภัยได้ที่แอปพลิเคชัน “THAI DISASTER ALERT” ทุกที่ ทุกเวลา

กรมชลฯตรึงการระบายท้ายเขื่อนเจ้าพระยาที่ 2,700 ลบ.ม.เฝ้าระวังฝนพายุ ‘คัลแมกี’
ธเนศร์ สมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา เปิดเผยว่า ล่าสุดวันนี้ (6 พฤศจิกายน 2568)เขื่อนเจ้าพระยาระบายที่ 2,700 ลบ.ม./วินาที ซึ่งเป็นปริมาตรสูงสุดที่เกิดจากฝนที่ตกหนักระลอกก่อนหน้านี้ โดยเป็นการตกทั้งลุ่มน้ำปิง วัง ยม และน่านด้านท้ายเขื่อนตอนบน แม้เขื่อนซึ่งเป็นเครื่องมือหน่วงน้ำยังมีศักยภาพรองรับน้ำ แต่เมื่อฝนตกท้ายเขื่อนจึงไหลลงสู่ลุ่มเจ้าพระยาอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้กรมชลประทานได้วางแผนบริหารจัดการน้ำรองรับพายุ ‘คัลแมกี’ ที่กรมอุตุนิยมวิทยาระบุว่า จะส่งผลให้เกิดฝนตกทั่วไทย ด้วยการแบ่งน้ำเข้าระบบชลประทาน 2 ฝั่งด้านเหนือเขื่อนให้มากที่สุด เพราะหากให้ระดับน้ำหน้าเขื่อนสูงเกินเกณฑ์ควบคุมจะทำให้เกิดน้ำล้นตลิ่งพื้นที่ริมน้ำในจังหวัดเหนือเขื่อนด้วย ผลกระทบจะกว้างขึ้นซึ่งขณะนี้ได้แจ้งต่อสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ขยายกรอบการระบายน้ำเกินกว่า 2,700 ลบ.ม./วินาทีไว้เผื่อในกรณีที่จำเป็น แต่จะพยายามตรึงไว้ที่อัตรา 2,700 ลบ.ม./วินาทีเพื่อไม่ให้พื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างได้รับผลกระทบเพิ่ม

เตือน ‘ชัยนาท-สิงห์บุรี-อ่างทอง-อยุธยา-สุพรรณบุรี’ เตรียมรับผลกระทบ เขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มระบายน้ำ
ภราดร ปริศนานันทกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์น้ำขณะนี้ว่า ขอแสดงความห่วงใยโดยเฉพาะพื้นที่ภาคกลางที่กำลังเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมอยู่ในขณะนี้ โดยเป็นผลกระทบจากฝนที่ตกอย่างหนักเมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคม ต่อเนื่องถึงช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ซึ่งน้ำใช้เวลาเดินทางมาจนถึงพื้นที่ภาคกลางแล้ว เมื่อวันที่ 4 พ.ย. กรมชลประทานได้ขออนุญาตขยายการระบายน้ำจาก 2,500 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เป็น 2,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งขณะนี้จะมีการระบายเป็น 2,700 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ที่เขื่อนเจ้าพระยา
"ต้องขอเตือนประชาชนที่อยู่สองฝั่งแม่น้ำตั้งแต่จ.ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา และสุพรรณบุรี อาจจะได้รับผลกระทบจากน้ำที่ระบายลงมาในช่วง 2-3 วันจากนี้ไป"

สทนช.สรุปสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ วันที่ 6 พ.ย. 68 เวลา 7.00 น.
สรุปสถานการณ์น้ำอ่างเก็บน้ำในภาพรวม : ปริมาณน้ำรวม 88% ของความจุเก็บกัก (71, 066 ล้าน ลบ.ม.) ปริมาณน้ำใช้การ 81% (47,048 ล้าน ลบ.ม.)
แหล่งน้ำขนาดใหญ่ปริมาณน้ำต่ำกว่าระดับควบคุมต่ำสุด จำนวน 1 แห่ง ภาคตะวันออก : คลองสียัด
แหล่งน้ำขนาดกลางที่มีปริมาณน้ำเก็บกักน้อยกว่า 30% จำนวน 19 แห่ง ดังนี้ ภาคเหนือ 3 แห่ง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 3 แห่ง ภาคตะวันออก 6 แห่ง ภาคตะวันตก 5 แห่ง และภาคใต้ 2 แห่ง
• สถานการณ์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ 6 พ.ย. 68 เวลา 06.00 น. 4 เขื่อนหลัก ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ณ ปัจจุบัน
- เขื่อนภูมิพล ปริมาตรน้ำ 13,177 ล้าน ลบ.ม. (98%) น้ำไหลเข้า 85.88 ล้าน ลบ.ม. และระบายน้ำในอัตรา 20.11 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน
- เขื่อนสิริกิติ์ ปริมาตรน้ำ 9,256 ล้าน ลบ.ม. (97%) น้ำไหลเข้า 10.92 ล้าน ลบ.ม. ระบายน้ำในอัตรา 10.02 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน
- เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน ปริมาตรน้ำ 947 ล้าน ลบ.ม. (101%) น้ำไหลเข้า 4.33 ล้าน ลบ.ม. ระบายน้ำในอัตรา 5.18 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน
- เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ปริมาตรน้ำ 994 ล้าน ลบ.ม. (98%) น้ำไหลเข้า 26.38 ล้าน ลบ.ม. ระบายน้ำในอัตรา 30.28 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน
- สถานี C.2 อ.เมืองฯ จ.นครสวรรค์ ปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,988 ลบ.ม. ต่อวินาที ต่ำกว่าระดับตลิ่ง 0.87 ม.
- เขื่อนเจ้าพระยา อ.สรรพยา จ.ชัยนาท ระบายน้ำในอัตรา 2,700 ลบ.ม. ต่อวินาที มีระดับน้ำเหนือเขื่อน +17.070 ม.รทก. และระดับน้ำท้ายเขื่อน +16.310 ม.รทก.
- สถานี C.29B อ.สามโคก จ.ปทุมธานี ปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,230 ลบ.ม. ต่อวินาที ต่ำกว่าระดับตลิ่ง 0.59 ม.




