ภาคประชาชนเชียงใหม่เดินหน้ารณรงค์ผลักดันร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเชียงใหม่มหานคร เพื่อเสนอเข้าสู่สภาฯ อีกครั้ง หลังเคยถูกระงับไปในยุคการรัฐประหารเมื่อปี 2557 โดย ร่าง พ.ร.บ.เชียงใหม่มหานคร ที่มีความพยายามในการผลักดัน คือกระจายอำนาจจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น

ผศ.ณัฐกร วิทิตานนท์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.เชียงใหม่มหานคร เกิดจากการสะท้อนปัญหาท้องถิ่น ที่ผู้ว่าราชการจังหวัด ไม่สามารถแก้ปัญหาได้โดยตรง เพราะไม่มีอำนาจสั่งการ หน่วยงานที่ขึ้นตรงจากส่วนกลาง และร่าง พ.ร.บ.เชียงใหม่มหานคร จะมีต้นแบบมาจากกรุงเทพมหานคร แต่เป็นการเขียนขึ้นเพื่อแก้ปัญหาจากกรุงเทพมหานครที่ยังมีปัญหาการทับซ้อนของหน่วยงาน เพื่อเป็นการแบ่งอำนาจชัดเจนระหว่างหน่วยงานรัฐบาลส่วนกลางกับรัฐบาลท้องถิ่น
“ข้อดีก็คือการเพิ่มอำนาจให้กับท้องถิ่นอย่างแท้จริง ด้านการปกครอง และหน่วยงานด้านบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงตำรวจที่จะต้องขึ้นกับท้องถิ่น และจะมีการทำงานควบคู่กับท้องถิ่นขนาดเล็กใช้ระบบการปกครอง 2 ชั้น ชั้นที่ 1 มีเชียงใหม่มหานครดูแล ส่วนชั้นที่สองก็จะเป็นระบบของเทศบาลแต่ละท้องถิ่น หรือ อบต.ในปัจจุบัน โดยให้ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ควบรวมเป็นตำแหน่งเดียวเรียกว่าผู้ว่าราชการเชียงใหม่มหานครเท่านั้น ทำหน้าที่บริหารท้องถิ่น และประกอบด้วยสภาเชียงใหม่มหานครทำหน้าที่ฝ่ายสภาท้องถิ่น”

ผศ.ณัฐกร กล่าวต่อว่า ข้อดีของร่าง พ.ร.บ.นี้ คือ ทำให้เชียงใหม่มีอำนาจในการจัดการตนเองมากขึ้น และที่สำคัญ การจัดการระบบภาษี ที่จะต้องมีการแบ่ง 50/50 ระหว่างรัฐบาลกลางกับท้องถิ่น เพราะที่ผ่านมาจังหวัดเชียงใหม่เก็บภาษีได้จำนวนมากแต่รัฐบาลอุดหนุนคืนมาไม่เท่ากับที่เก็บได้ ซึ่งร่าง พ.ร.บ. เชียงใหม่มหานครปัจจุบันยังไม่ได้รับการตอบรับที่ดีเท่าที่ควรจากข้าราชการ แต่ได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชน
ส่วนข้อเสียของ ร่าง พ.ร.บ.เชียงใหม่มหานคร คือเรื่องของความไว้ใจนักการเมืองท้องถิ่น โดยเฉพาะหากมีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ที่จะมีเรื่องของบ้านใหญ่และตระกูลการเมือง รวมถึงผู้มี อิทธิพล ที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งจะมีผลประโยชน์แอบแฝงเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะจะเข้าไปคุมตำรวจในท้องถิ่นด้วย
นอกจากนี้ก็ยังมีกลุ่มผู้เห็นต่าง ทั้งกำนันผู้ใหญ่บ้าน และองค์การบริหารส่วนตำบล ด้วยความที่ยังไม่ได้อ่านร่างกฎหมายโดยละเอียด จึงเกรงว่าจะมีการยกเลิกตำแหน่งกำนันผู้ใหญ่บ้าน และยุบองค์การบริหารส่วนตำบลเหลือเพียงเทศบาลเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องของอนาคต ร่างฉบับนี้ยังคงไว้ทั้งหมด

ด้าน ไพสิฐ พาณิชย์กุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) มองว่า การขับเคลื่อนของภาคประชาชนครั้งนี้ ถือว่าเป็นการขับเคลื่อนที่สอดคล้องกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญในมาตรา 250 เรื่องการกระจายอำนาจ ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นหลักการใหญ่ เพราะรัฐธรรมนูญก็รับรองในเรื่องของการกระจายอำนาจอยู่ และที่สำคัญมากๆ ส่วนหนึ่งที่ตรงกับเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญ เป็นไปตามเจตนารมย์ของประชาชนในพื้นที่

อ.ไพสิฐ กล่าวอีกว่า “การขับเคลื่อนร่าง พ.ร.บ.เชียงใหม่มหานคร จริงๆ แล้ว เป็นเรื่องของการปรับโครงสร้างองค์กร ในการแก้ปัญหาของท้องถิ่น โดยเปลี่ยนรูปแบบที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นรูปแบบขององค์กรที่ยังไม่เหมาะสำหรับการแก้ปัญหาในพื้นที่ได้เปลี่ยนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดให้เป็นเมืองมหานคร ที่จังหวัดเชียงใหม่นั้นเป็นเมืองใหญ่ เพราะฉะนั้นการจัดระบบองค์กรที่เป็นมหานคร จะทำให้เกิดการแก้ปัญหารวมถึงการดูแล หรือการจัดทำบริการสาธารณะ จะตรงกับความต้องการของประชาชนมากกว่า”
“ข้อดีของ ร่าง พ.ร.บ.เชียงใหม่มหานคร มีการพูดถึงข้อกำหนดสัดส่วนของภาษี ตรงนี้ก็ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะการแก้ปัญหาเมืองขนาดใหญ่ที่ผ่านมาของประเทศไทย แม้ท้องถิ่นจะทำรายได้ให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก แต่กลับกันท้องถิ่นได้รับการจัดสรรงบประมาณคืนมาน้อยมาก ทำให้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นไม่ได้รับการดูแลอย่างเพียงพอ”
“และอีกส่วนหนึ่งที่เป็นจุดเด่นมากๆ ก็คือการจัดตั้งผู้ที่มีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางพัฒนาพื้นที่ คือมีการจัดตั้งสภาพลเมืองขึ้นมา 200 คน เพื่อทำหน้าที่ เป็นสภาของมหานคร จะต่างจากปัจจุบัน ที่การพัฒนาเมือง ขึ้นอยู่กับกลุ่มทุน ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาคที่อยู่ในพื้นที่ และแม้จะมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แต่ก็ไม่มีบทบาทเท่าที่ควรในการพัฒนา”

อ.ไพสิฐ กล่าวด้วยว่า การที่มีสภาพลเมืองขึ้นมาก็ถือว่าเป็นช่องทางที่ให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการพัฒนาเป็นไปได้มากกว่าระบบที่มีในปัจจุบัน อีกบทบาทสำคัญก็คือเรื่องของกลไกในการตรวจสอบ การทำงานของท้องถิ่น
“ส่วนข้อที่กังวลกันมากๆ ก็คือเรื่องของเจ้าพ่อหรือผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น ขึ้นมาเป็นผู้นำหรือชนะการเลือกตั้ง ซึ่งถือว่าเป็นข้อถกเถียงกันมาประมาณ 50-60 ปี แต่หลายหลายเมืองก็ผ่านการพิสูจน์แล้ว แม้ต่อให้เป็นผู้มีอิทธิพลขึ้นมา แต่มีกลไกการตรวจสอบ การทำงานของคนที่ได้รับการเลือกตั้ง อันนี้ก็จะดีกว่าในสภาพที่เป็นอยู่ปัจจุบัน”
ในขณะเดียวกันเรื่องที่จะต้องออกแบบร่วมกัน ไม่ได้หมายความว่า การทำงานในรูปแบบมหานคร จะเป็นอิสระจากภาครัฐ ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของรัฐอยู่ เพียงแต่ว่านำอำนาจในการแก้ปัญหาในการจัดการ มาอยู่ใกล้กับปัญหามากกว่า โดยที่ไม่ต้องรอให้ส่วนกลางสั่ง เพราะมีหลายเรื่องที่เราสามารถเปลี่ยนจากการตั้งรับออกแบบให้เป็นการทำงานเชิงรุก ก็จะมีโอกาสมากขึ้น
“มุมมองของนักกฎหมายจากบทเรียนในการเรื่องการกระจายอำนาจ คิดว่าแม้รัฐธรรมนูญหลายฉบับจะพูดถึงการกระจายอำนาจ ที่สำคัญคือไปตายตรงระเบียบท้องถิ่นปัจจุบันหลายอัน อำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กฎหมายก็เปิดช่องให้ทำอะไรได้ค่อนข้างมาก แต่ต้องไปผูกโยงตามที่กฎหมายบัญญัติ หรือระเบียบของกระทรวงมหาดไทย เพราะฉะนั้นข้อติดขัดทางกฎหมายจึงเป็นกับดัก ที่ทำให้ระบบกลไกในเรื่องการปกครองส่วนท้องถิ่นในการแก้ปัญหาต่างๆ ถูกบริหารด้วยระเบียบมากกว่าถูกบริหารด้วยกฎหมาย จุดนี้จึงเป็นข้อควรระวัง และจะทำยังไงให้กฎหมายที่เขียนออกมาไม่ไปผูกกับระเบียบ”
— ไพสิฐ พาณิชย์กุล
อ.ไพสิฐ กล่าวด้วยว่า “อีกปัจจัยสำคัญ คือกระบวนการเข้าสู่ตำแหน่ง โดยการเลือกตั้ง แต่ที่ผ่านมาการเลือกตั้งของเรา การเลือกตั้งที่เป็นไปโดยหลักอิสระ ของผู้ใช้สิทธิ์ในการเลือกตั้ง มีเรื่องของอิทธิพลเรื่องของบ้านใหญ่ อิทธิพลของกลไกระบบราชการ เข้ามาทำให้การเลือกตั้งนั้นไม่เป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรม อันนี้เราต้องมาคิดว่ากระบวนการเข้าสู่ตำแหน่ง จะไม่ผูกติดกับวิธีเดียว นอกจากการเลือกตั้ง ซึ่งอาจจะต้องมีรูปแบบอื่นๆ ที่ทำให้บุคคลที่จะเข้ามาบริหารจังหวัดเชียงใหม่ ไม่จำเป็นว่าจะต้องมาจากวิธีการการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น”
เนื้อหาสาระสำคัญ ร่าง พ.ร.บ.เชียงใหม่มหานคร
1.เปลี่ยนสถานะจาก ‘จังหวัดเชียงใหม่’ เป็น ‘เชียงใหม่มหานคร’
2.เลือกตั้งผู้ว่าราชการและสมาชิกสภามหานคร วาระ 4 ปี (ยกเลิกการแต่งตั้งจากกระทรวงมหาดไทย)
3.โครงสร้างบริหารแบบ 2 ชั้น : มหานครระดับบน และเทศบาล/อบต.ระดับล่าง4.ยกเลิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)
5.คงตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และสารวัตรกำนัน
6.จัดตั้ง ‘สภาพลเมือง’ กว่า 200 คน มีอำนาจตรวจสอบ เสนอความเห็น และขับเคลื่อนนโยบายในระดับเทียบเท่าผู้ว่าราชการจังหวัด
7.ให้อำนาจมหานครจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้ ภาษีนิติบุคคล ภาษีมรดก และแบ่งรายได้กับรัฐบาลกลางในอัตรา 50:50
8.กำหนดให้มีการสอบถามความคิดเห็นของประชาชน ก่อนดำเนินโครงการใหญ่ หรือเมื่อมีประชาชน 5,000 คนร้องขอ


