เหตุการณ์สิงโตทำร้ายเจ้าหน้าที่เสียชีวิต ทำให้เกิดความกังวลเรื่องความปลอดภัยในสวนสัตว์และซาฟารี โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวลักษณะนี้ที่เลี้ยงสัตว์ดุร้ายอยู่ สิ่งสำคัญคือการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของสถานที่, การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่, และการปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับทั้งเจ้าหน้าที่และนักท่องเที่ยว
ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี สวนสัตว์ขนาดใหญ่ที่นักท่องเที่ยวสามารถนั่งรถชมสัตว์ป่าหลากหลายชนิด รวมถึงเสือโคร่งสีทองชื่อดังอย่างเอวาและลูน่า โดยทางสวนสัตว์มีการจัดแสดงสัตว์ในสภาพแวดล้อมใกล้เคียงธรรมชาติ มีทั้งโซนจัดแสดงสัตว์ดุร้าย และมีกิจกรรมป้อนอาหาร พร้อมทั้งมีการแสดงโชว์ และเจ้าหน้าที่ยังคงมีมาตรการดูแลสัตว์อย่างเข้มข้น

นายสัตวแพทย์ (น.สพ.) รักษ์ศิริ น้อมศิริ หัวหน้ากลุ่มงานสัตวแพทย์ อนุรักษ์และวิจัย เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ให้ข้อมูลว่า โดยปกติแล้วในการทำงานเข้าไปให้อาหารสัตว์ดุร้ายหรือให้อาหารสัตว์ใด ๆก็ตามก็จะต้องมีการเข้าไปทำงานเป็นคู่ หรือสองคนขึ้นไป หากเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้ช่วยเหลือกันได้ทัน เวลาเข้าปฏิบัติงานก็จะมีอุปกรณ์ที่เอาไว้ช่วยเหลืออย่างฉุกเฉินเตรียมเอาไว้ หากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาอย่างสัตว์ทำร้ายเจ้าหน้าที่หรือสัตว์ทะเลาะเองก็สามารถใช้อุปกรณ์ที่เตรียมไประงับเหตุได้
"หากพูดถึงพฤติกรรมการล่าเหยื่อของเสือหรือสิงโตจะใช้กรงเล็บในการตะปบเหยื่อให้อยู่นิ่งหรือล้มจากนั้นจะใช้ฟันหรือเขี้ยวงับบริเวณลำ ซึ่งพฤติกรรมเวลาอยู่ในสวนสัตว์เราจะต้องย้ำเตือนก็คือถ้าจะต้องเข้าไปทำงานใกล้ชิดกับสัตว์ดุร้ายต้องห้ามหันหลังให้สัตว์ ต้องพยายามจ้องมองสัตว์ไว้ตลอดเวลาก็จะทำให้สัตว์ไม่เข้าทำร้าย หากใครที่ทำงานใกล้ชิดมากก็จะสังเกตว่าบางตัวที่ดูจะดุเวลาที่หันหน้ามองจะพยายามเดินอ้อมไปด้านหลังของคน แม้บางครั้งก็อาจจะเหมือนต้องการจะเล่นด้วยแต่เวลาเล่นแล้วก็เล่นแรงดังนั้นต้องมีสติและสังเกตตลอดเวลา"
น.สพ.รักษ์ศิริ กล่าวต่อว่า สิ่งที่ต้องระวังมากขึ้น คือ ถ้าเป็นสัตว์ดุร้ายที่อยู่ในส่วนการแสดงจะเป็นสิงโตที่ไม่ได้ฝึกให้คุ้นเคยกับคนเลี้ยงมากนักเพราะต้องการให้แสดงพฤติกรรมตามธรรมชาติมากที่สุด จะแตกต่างกับชุดที่อยู่ในการแสดงโชว์ เพราะฉะนั้นเวลาที่เข้าไปปฏิบัติงานเราจะไม่มีผู้ดูแลและสัตว์ที่เผชิญหน้ากันโดยตรง เวลาที่ให้อาหารหรือว่าทำความสะอาดสถานที่ก็จะนำเอาสัตว์ออกไปก่อน ซึ่งตัวผู้ดูแลก็จะมีประสบการณ์ก็จะรู้ว่าตัวไหนที่แสดงพฤติกรรมลักษณะใด ตัวใดที่มีความเครียด เช่นการเดินวนในพื้นที่ หรือห่วงอาณาเขต ทำให้เมื่อมีผู้ดูแลคนใหม่ที่ไม่ได้คุ้นเคยกับสัตว์ตัวนั้นๆ ก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังขึ้นไปอีก เพราะสัตว์จะไม่คุ้นชินไม่คุ้นกลิ่นก็อาจจะทำให้มีการห่วงพื้นที่ได้

น.สพ.รักษ์ศิริ กล่าวอีกว่า สำหรับเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีในส่วนแสดงที่เป็นรถให้นักท่องเที่ยวนั่งชมสัตว์สามารถมั่นใจในความปลอดภัย เพราะส่วนหนึ่งมาจากการที่เราให้นักท่องเที่ยวนั่งอยู่บนรถที่ทางเราให้บริการ จะไม่ได้มีการให้นักท่องเที่ยวนำรถส่วนตัวเข้ามา
ดังนั้นรถที่วิ่งเข้ามาก็จะมีผู้ดูแลอยู่แล้วในส่วนของสัตว์ที่เป็นสัตว์อันตรายเรามีการจัดสวนแสดงแยกต่างหากจะไม่ได้มีการเข้าสัมผัสใกล้ชิดกับรถโดยตรง และสำหรับสัตว์ที่ดุร้ายเราก็จะมีรั้วไฟฟ้าคูน้ำที่คอยป้องกันไม่ให้สัตว์หลบหนีหรือออกจากพื้นที่ ทั้งนี้เราก็มีการซ้อมแผนสัตว์หลุดหรือกรณีสัตว์ทำร้ายคนอยู่เป็นประจำอยู่แล้วต่อเนื่องทุกปี
“สิ่งที่นักท่องเที่ยวไม่ควรทำก็คือเวลาที่นั่งอยู่บนรถ และเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำต่างๆ หรือแจ้งข้อปฏิบัติพยายามอย่าฝ่าฝืนข้อปฏิบัติ ซึ่งบางทีเรามีส่วนจัดแสดงที่เป็นสัตว์ที่ไม่ได้ดุร้าย เช่น ยีราฟ ม้าลาย นกกระจอกเทศ ซึ่งไม่ใช่สัตว์ที่เป็นอันตราย แต่บางครั้งนักท่องเที่ยวอาจจะยื่นมือเข้าไปจับสัมผัสสัตว์โดยตรง บางทีสัตว์อาจจะตกใจ ก็อาจจะทำให้สัตว์ทำร้ายนักท่องเที่ยวได้ ซึ่งเป็นการทำร้ายโดยไม่ตั้งใจ แต่มาจากการที่มีอาการตกใจ เช่น งับมือหรือขวิด ก็อาจจะทำให้เกิดอันตรายได้ ซึ่งเจ้าที่ก็จะแจ้งก่อนล่วงหน้าแล้วว่าสัตว์ชนิดไหนสามารถป้อนอาหารได้หรือชนิดไหนที่ต้องมีการเพิ่มความระมัดระวัง”

ด้าน เจษฐา นาตะโย เจ้าหน้าที่บริหารสวัสดิภาพสัตว์ เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี กล่าวว่า ในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทุกท่านก็จะมีกฎในการปฏิบัติงานคือจะมีการตรวจเช็คจำนวนสัตว์ ตรวจความผิดปกติของกรงของสัตว์ ซึ่งก็มีขั้นตอนในการปฏิบัติอย่างละเอียดอยู่แล้ว
“ส่วนการเตรียมความพร้อมของร่างกายของเจ้าหน้าที่ก็ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ งดเว้นจากการดื่มสุรา ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามอยู่แล้วในการปฏิบัติงานกับสัตว์ที่มีความดุร้ายและอันตราย
การเข้าออกคอกสัตว์ทุกครั้งจะมีการปิดล็อกประตูทุกครั้งไม่เปิดทิ้งไว้เพื่อป้องกันสัตว์หลุดและสัตว์ที่จะเข้ามาทำอันตรายกับผู้ปฏิบัติงาน”
เจษฐา กล่าวต่อว่า สำหรับเจ้าหน้าที่ที่เข้ามาทำงานใหม่จะมีการฝึกอบรมในการดูแลสัตว์โดยเฉพาะสัตว์ตุร้าย ส่วนผู้ปฏิบัติงานที่ทำงานมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วก็จะมีเทคนิคในการเข้าหาสัตว์ ก็คือ การมองจ้องหน้ากับตัวสัตว์ เพราะโดยสัญชาตญาณของตัวสัตว์จะล่าโดยการจู่โจมทางด้านหลัง เวลาเข้าออกคอกสัตว์ทุกครั้งจะเดินหน้าเข้า แต่เวลาออกจะเดินถอยหลัง เพื่อเป็นการสังเกตว่าสัตว์ที่อยู่ในคอกจะไม่เข้ามาทำร้ายหรือหนีออกไปจากคอกกัก
“ความยากง่ายและอุปสรรคก็คือเค้าเป็นสิ่งมีชีวิต บางวันก็จะมีอารมณ์ดี บางวันก็จะอารมณ์ไม่ดี แต่จากการทำงานเราจะมีความคุ้นเคยด้วยปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนเลี้ยงกับสัตว์ มันก็จะเหมือนจะสื่อสารกันได้ในระดับหนึ่ง ก็จะสามารถมองออกได้ว่าวันไหนที่อารมณ์ดีหรือวันไหนที่หงุดหงิด เพราะโดยปกติแล้วการปฏิบัติงานถ้าสัตว์มีอาการปกติจะมีการเดินเข้ามาหา มาทักทายเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว แต่สิ่งสำคัญคือต้องมีสติอยู่กับตัวทุกวินาที”
— เจษฐา นาตะโย เจ้าหน้าที่สวนสัตว์เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี
ธนากร ลีลาศีลธรรม นักท่องเที่ยวที่ครอบครัวชอบไปเที่ยวสวนสัตว์ บอกว่า ไปเที่ยวสวนสัตว์อยู่บ้าง แต่ถ้าว่างๆ บางเดือนไปเกือบทุกเสาร์-อาทิตย์ เพราะลูกชอบดูการ์ตูนสัตว์ อ่านนิทานเกี่ยวกับสัตว์ เลยอยากพาไปดูของจริงให้เขาได้เรียนรู้ว่าแตกต่างจากที่เขาเห็นในหนังสือยังไง

“ยอมรับว่ามีความกังวลอยู่บ้างเวลาไปกับลูก แต่ไม่ถึงขั้นกลัวจนไม่กล้าไป เพราะเชื่อว่าถ้าเราเลือกสถานที่ที่ได้มาตรฐาน และเราทำตามกฎระเบียบที่เจ้าหน้าที่กำหนด ความเสี่ยงก็จะน้อยมาก
อย่างไรก็ตามก็อยากให้เพิ่มการประชาสัมพันธ์เรื่องความปลอดภัยให้ชัดเจนขึ้น เช่น บอกระยะห่างที่ควรยืน วิธีปฏิบัติถ้ามีเหตุฉุกเฉิน รวมถึงตรวจสอบรั้ว กรง หรือแนวกั้นอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กเล็ก”
ด้าน ภัทรี เจริญผล ชาวเชียงใหม่ บอกว่า ส่วนตัวไปเที่ยวดูสัตว์ประมาณปีละ 1-2 ครั้ง เพราะรู้สึกสบายใจเวลาได้ดูสัตว์ที่ไร้เดียงสา กิน เล่น นอน ชีวิตไม่วุ่นวาย มองแล้วโล่งใจ

“หากถามว่าหลังมีข่าวคนโดนสิงโตทำร้าย มีผลกับการจะไปเที่ยวหรือไป ขอตอบว่า ไม่มีผล เพราะว่าจากที่เคยไปเที่ยวโซนสัตว์ดุร้ายก็จะมีบริเวณพื้นที่กั้นระหว่างนักท่องเที่ยวและสัตว์ รวมถึงเราก็ได้ปฏิบัติตามกฎอยู่ ทั้งนี้อยากให้เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของตัวเองมากขึ้น เพราะเจ้าหน้าที่มักประมาทกว่านักท่องเที่ยว”

