สนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Sonthi Kotchawat’ ในหัวข้อ “ผลกระทบสิ่งแวดล้อมมหาศาล จากการขุดแร่หายากแบบไร้มาตรฐาน” มีข้อความระบุว่า
1.ข้อมูลจากสำนักงานสำรวจทางธรณี วิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (USGS) ในปี 2567 ระบุว่าประเทศไทยผลิตแร่หายากอันดับ 4 ของโลก ส่วนใหญ่พบในหินแกรนิต และสะสมอยู่ในชั้นดินผุพังรวมถึงในสายแร่ที่เกี่ยวข้องกับดีบุกและทังสเตนจังหวัดที่มีศักยภาพ:ภาคเหนือ: เชียงราย,แม่ฮ่องสอน, เชียงใหม่ ภาคตะวันตก: อุทัยธานี,กาญจนบุ รี, ประจวบคีรีขันธ์, ระนอง, พังงา ภาคใต้: ประจวบคีรีขันธ์, ชุมพร, ระนอง, พังงา, สุราษฎร์ธานี
แต่ทั้งหมดยังไม่มีการดำเนินการขุดแร่ในเชิงพาณิชย์ เพียงแต่ทำกันเองแบบชาวบ้าน
2.แร่หายาก (Rare earth elements) ส่วนใหญ่จะได้มาจาการทำเหมืองด้วยวิธีการที่ต้องขุดหน้าดินและใช้สารเคมีเพื่อชะล้างโลหะออกจากแร่ หรือโดยการเจาะและปั๊มสารเคมีเข้าไปในชั้นหิน เช่น ใช้สารแอมโมเนียมซัลเฟตเพื่อละ ลายธาตุหายากออกมาแล้วนำมาสกัดด้วยสารเคมีอีกครั้ง ดังนั้นน้ำเสีที่เกิด จากการผลิตจะปนเปื้อนด้วยโลหะหนัก ปริมาณมาก ถ้าปล่อยทิ้งออกมาจะปนเปื้อนต่อสิ่งแวดล้อม
3.กระบวนการเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก รวมถึงเกิดการปนเปื้อนของดิน อากาศ และน้ำด้วยสารเคมีที่เป็นพิษและวัสดุกัมมันตรังสี เช่น ทอเรียมและยูเรเนียม ซึ่งนำไปสู่ปัญหาระยะยาว เช่น มลพิษที่ปนเปื้อนลงสู่น้ำใต้ดินและของเสียที่สามารถสร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศและชุมชนในท้องถิ่นได้


4.การทำเหมืองแร่หายาก หน่วยราช การ เช่น กรมทรัพยากรธรณีและกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและเหมืองแร่ จะต้องเตรียมความพร้อมต้องกำหนดหลักการและแนวทางปฏิบัติในการทำเมืองให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ต้องมีมาตรกรในการป้องกันและลดผลกระทบจากการ ปล่อยน้ำเสีย มาตรการจัดเก็บตะกอนหางแร่ การป้องกันกากตะกอนแร่ทั้งที่เป็นกัมมันตภาพรังสีและไม่เป็นปนเปื้อนน้ำใต้ดินและน้ำผิวดิน และระบบนิเวศ มาตการป้องกันมลพิษทางอากาศ
รวมทั้งจะต้องให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมและให้ความเห็นว่าสมควรให้มีการดำเนินการในพื้นที่ชุมชนหรือไม่ รวมทั้งจะต้องกำหนดให้โครงการดังกล่าวทุกขนาดจะต้องทำรายงานการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพด้วย


นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ยังโพสต์ข้อความเพิ่มเติม เรื่อง การขุดแร่ธาตุหายากเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่? โดยระบุว่า
1.การทำเหมืองแรร์เอิร์ธอาจสร้างความเสียหายอย่างมากต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นการทำเหมืองที่ผิดกฎหมายและไร้การควบคุม ปัญหาสำคัญประการหนึ่งของการขุดแร่แรร์เอิร์ธ คือ แร่ที่นำมาสกัดมักมีทอเรียมและยูเรเนียมผสมอยู่ด้วย ซึ่งทั้งสองอย่างนี้มีกัมมันตภาพรังสี ซึ่งหมายความว่าการแยกแร่แรร์เอิร์ธออกจากแร่เหล่านี้ต้องได้รับการจัดการอย่างระมัดระวัง เนื่องจากของเสียที่เกิดขึ้นจะมีกัมมันตภาพรังสีเช่นกัน
2.หากกากกัมมันตรังสี เหล่านี้ มักไหลลงสู่แหล่งน้ำใต้ดินและลำธาร ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อสิ่งแวด ล้อมและชุมชนใกล้เคียงที่ต้องพึ่งพาแหล่งน้ำซึ่งสามารถพบเห็นได้ในพื้นที่ภูเขาทางตอนใต้ของจีนและตอนเหนือของเมียนมาร์ ซึ่งทั้งสองพื้นที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างหนักเพื่อขุดหาแร่ธาตุหายาก
3.รายงานจาก Global Witness ซึ่งศึกษาผลกระทบของการทำเหมืองแร่ธาตุหายากในภูมิภาคเหล่านี้ แสดงให้เห็นว่าการทำเหมืองในเมียนมาทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลังจากที่จีนเริ่มปิดเหมืองของตนเองและเข้ามาดำเนินการในเมียนมา เมื่อกลางปี พ.ศ. 2565 พบแหล่งทำเหมือแร่ที่ผิดกฎหมายจากการชะล้างในแหล่งแร่บนภูเขาถึง 2,700 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ขนาดเท่ากับประเทศสิงคโปร์ รายงานว่าเข้าถึงน้ำดื่มที่สะ อาดได้ยาก และสัตว์ป่าและปลาในท้องถิ่นกำลังสูญพันธุ์
นอกจากนี้ กระบวนการชะล้างในแหล่งแร่ยังอาจสร้างความเสียหายให้กับหินที่กำลังถูกสกัดอีกด้วย Global Witness พบว่ามีดินถล่มเกิดขึ้นแล้วกว่า 100 ครั้งในเขตก้านโจวของจีน อันเป็นผลมาจากการสกัดนี้ และภูเขาในเมียนมาร์ก็สร้างความเสียหายอย่างมากเช่นกัน


