โฆษกกลาโหม เผย ‘ไทย’ ระงับถอน ‘อาวุธหนัก’ ลุยเก็บกู้ ‘ทุ่นระเบิด’ ในดินแดนไทย

17 พ.ย. 2568 - 14:44

  • โฆษกกลาโหม เผย ‘ไทย’ ระงับถอน ‘อาวุธหนัก’ ลุยเก็บกู้ ‘ทุ่นระเบิด’ ในดินแดนไทย เผย ‘กัมพูชา’ ขวางกู้ทุ่นระเบิด 16 ครั้ง วางเป้าหมาย 64 พื้นที่ เร่งทำ 13 พื้นที่ก่อน

  • ทบ. เปิดคลิป ‘ทหารกัมพูชา’ เก็บระเบิดเก่าไปวางจุดใหม่ ขณะที่ สตช. เผย 2 สัปดาห์ ปราบสแกมเมอร์ จับกุม 7,000 คน ยึดทรัพย์ 41 ล้าน ลักลอบใช้อินเตอร์เน็ต 1,600 จุด

โฆษกกลาโหม เผย ‘ไทย’ ระงับถอน ‘อาวุธหนัก’ ลุยเก็บกู้ ‘ทุ่นระเบิด’ ในดินแดนไทย

โฆษกกลาโหม เผย ‘ไทย’ ระงับถอนอาวุธหนัก ออกจากพื้นที่ ลุยเก็บกู้ ‘ทุ่นระเบิด’ ในดินแดนไทย

พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม แถลงถึงกรณีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด ว่า ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค. จนถึงเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 พ.ย. รวมทั้งสิ้น 7 ครั้ง มีทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 20 ราย ทุพพลภาพขาขาด 7 ราย อีก 13 ราย ได้รับบาดเจ็บจากแรงกระแทก โดยทั้ง 7 ครั้ง เกิดขึ้นในดินแดนของประเทศไทย และเหตุการณ์ล่าสุดเมื่อวันที่ 10 พ.ย.เกิดขึ้นในเส้นทางลาดตระเวนที่ทหารไทยใช้เป็นประจำบริเวณห้วยตามาเลียใกล้กับภูมะเขือ ลักษณะวางเป็นกลุ่มก้อน 4 จุด ใกล้เคียงกัน เพื่อมุ่งเป้าถึงชีวิต เป็นพฤติกรรมเดียวที่กัมพูชาใช้มาโดยตลอด ทุ่นระเบิดที่เหลือมีลักษณะใหม่ ตัวอักษรคมชัดเจน วางในดินที่ยังไม่มีหญ้าปกคลุม

ย้ำชัดว่าเป็นการวางทุ่นระเบิดใหม่ ทั้งนี้ วันที่ 30 เม.ย.68 ไทยได้ส่งรายงานไปยังคณะกรรมการอนุสัญญาออตตาวา ว่าไทยไม่มีการเก็บสะสมสังหารบุคคลตั้งแต่เดือน ส.ค.62 รวมทั้งไม่มีการเก็บไว้เพื่อการศึกษา เป็นเครื่องยืนยันชัดเจนว่าเราไม่มีทุ่นระเบิดในครอบครอง

พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า จากการเก็บกู้ทุ่นระเบิดบริเวณชายแดนที่เป็นแนวสู้รบในอดีต ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา มีถึง 16 ครั้งที่ทางกัมพูชาเข้ามาขัดขวาง และจากการสำรวจพื้นที่หลังการปะทะ ตรวจพบเพิ่มเติมว่ามีพื้นที่ที่ทางกัมพูชาเก็บทุ่นระเบิดสังหารไว้ด้วย ประกอบกับทุ่นระเบิดล่าสุดเป็นชนิด PMN-2 ไม่มีในสมัยสงครามในอดีต จึงสรุปได้ว่าเป็นทุ่นระเบิดใหม่ และเป็นกัมพูชาเป็นผู้วาง

นอกจากนี้ หลังจากสำรวจพื้นที่ภายหลังการปะทะกับกัมพูชา เราได้พบโทรศัพท์ซึ่งมีหลักฐานเป็นภาพวิดีโอทหารฝ่ายกัมพูชามีการเก็บกู้ทุ่นระเบิด และพบภาพการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด 72B จากนายทหารคนเดียวกัน จึงตั้งข้อสังเกตได้ว่าการเก็บกู้ทุ่นระเบิดดังกล่าวเพื่อนำไปวางระเบิดใหม่ หลักฐานที่กล่าวมาจึงชัดเจนว่ากัมพูชาเป็นผู้ละเมิดปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชาที่เขียนไว้ชัดเจนว่าไม่ให้ทั้งสองฝ่ายยั่วยุหรือเข้าไปในพื้นที่อธิปไตยของอีกฝ่าย

พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวว่า การดำเนินการของไทยหลังจากนี้ เมื่อฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้ละเมิดปฏิญญา เราจะระงับการดำเนินการตามปฏิญญา เช่น การถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ โดยไม่สนว่ากัมพูชาจะดำเนินการหรือไม่ แต่การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในดินแดนไทยจะดำเนินการต่อไป โดยขณะนี้วางพื้นที่เป้าหมายไว้ 64 พื้นที่ แต่จะเร่งดำเนินการใน 13 พื้นที่ก่อน ประกอบด้วย พื้นที่ในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของกองกำลังบูรพา 3 พื้นที่ คือ บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว และบ้านเนินสมบูรณ์ จ.สระแก้ว, พื้นที่ของกองกำลังสุรนารี 6 พื้นที่ ประกอบด้วย ช่องบก ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี หมู่บ้านสายโท 10 ใต้ อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ ช่องกราง ช่องเหว ปราสาทตาควาย อ.พนมดงรักษ์ จ.สุรินทร์, พื้นที่ของกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด 4 พื้นที่ ได้แก่ หมู่บ้านตะกาง หมู่บ้านคลองเมือง หมู่บ้านชำราก อ.เมือง และหมู่บ้านโขดทราย อ.คลองใหญ่ จ.ตราด อย่างไรก็ตาม ใน 13 พื้นที่ข้างต้น จะมี 5 พื้นที่ที่เป็นพื้นที่นำร่อง ประกอบด้วย บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว บ้านชำราก ช่องเหว และสายโท 10 เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุอันตรายกับประชาชนไทยที่เข้าไปเก็บของป่า ทั้งนี้ การปล่อยเชลยศึกจะเป็นการดำเนินการขั้นสุดท้ายเมื่อเห็นว่ากัมพูชาสิ้นสุดการเป็นปรปักษ์กับไทย เราจึงจะพิจารณาในเรื่องดังกล่าว

ทบ. เปิดคลิป ‘ทหารกัมพูชา’ เก็บระเบิดเก่าไปวางจุดใหม่

พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้นำหลักฐานที่ทหารไทยเก็บได้ ซึ่งเป็นโทรศัพท์มือถือจำนวน 2 เครื่อง ที่บันทึกคลิปทหารกัมพูชากำลังเก็บระเบิดเก่าเพื่อไปวางยังจุดใหม่ และการสอนวางระเบิด มาให้ผู้สื่อข่าวดู โดยโทรศัพท์ทั้ง 2 เครื่องที่เก็บได้ ได้มีการนำไปตรวจสอบกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรมแล้ว พบว่าเป็นคลิปจริง และบุคคลรอบข้างที่เห็นภายในคลิปเป็นทหารกัมพูชาที่เคยลาดตระเวนร่วมกับทหารไทย

พล.ต.วินธัย กล่าวว่า โทรศัพท์ทั้ง 2 เครื่องลงทะเบียนที่กัมพูชา หากโทรเข้าไปเช็กจะเป็นชาวกัมพูชารับสาย ทั้งนี้ โทรศัพท์ดังกล่าวเก็บได้บริเวณภูมะเขือตอนเกิดเหตุชุลมุน โดยเราพบโทรศัพท์จำนวนหนึ่ง โดยหลักฐานเหล่านี้จะเป็นเครื่องยืนยันและเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนของฝ่ายไทย

สตช. เผย 2 สัปดาห์ ปราบสแกมเมอร์ จับกุม 7,000 คน ยึดทรัพย์ 41 ล้าน ลักลอบใช้อินเตอร์เน็ต 1,600 จุด

พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึง การปราบปรามสแกมเมอร์ อย่างที่ทราบว่าเป็นวาระแห่งชาติ ซึ่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ยกลำดับเป็นภารกิจสำคัญ ตำรวจทุกนายในประเทศต้องนำไปปฏิบัติ ซึ่งที่ผ่านมา อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการแถลงข่าวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเฉพาะการระดมกวาดล้างอาชญากรรมออนไลน์ มีผลการปฏิบัติเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก

ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการจับกุมคนร้าย กว่า 7,000 คน มีทั้งอาชญากรรมประเภทออนไลน์ทุกอย่าง  ซิมผีบัญชีม้า รวมถึงการลักลอบนำคนไปทำงานเป็นสแกมเมอร์ที่ประเทศเพื่อนบ้าน และจับกุมเว็บไซต์การพนัน-ตรวจยึดทรัพย์สินกว่า 41 ล้านบาท

ทั้งนี้มีการประสานกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ปิดกั้นแพลตฟอร์มเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ พร้อมกับมีการสำรวจ เสาสัญญาณ และจุดที่มีการลักลอบใช้อินเตอร์เน็ตในประเทศเพื่อนบ้านกว่า 1,600 จุด โดยได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป

ส่วนมาตรการในต่างประเทศตั้งแต่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปที่ประเทศจีนเพราะสแกมเมอร์เป็นอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งเป็นมาตรการสำคัญอย่างยิ่ง โดยผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีการประชุมร่วมกับ 6 ประเทศ ประกอบด้วย จีน  ไทย  เมียนมาร์  ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ที่มีภัยคุกคามประเภทเดียวกัน

โดยมี หลิว จงอี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นประธานการประชุม โดยได้ร่วมหารือสถานการณ์การหลอกลวงข้ามชาติ แบะโทรคมนาคมออนไลน์ที่สร้างความเสียหายส่งผลต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงทางสังคมของประชาชนอย่างร้ายแรง

โดยการประชุมได้มีการบรรลุฉันทามติและข้อตกลงร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม จนเป็นข้อริเริ่มว่าด้วยการปราบปราม และจัดการอาชญากรรมฉ้อโกงทางโทรคมนาคม จนได้ข้อตกลงหลายด้านอาทิ ทุกประเทศจะใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นในเขตแดนของตนเองและไม่ปล่อยให้มีแก๊งค์สแกมเมอร์ในประเทศตัวเอง  ปฏิบัติการกวาดล้างเขตนิคมที่เป็นฐานพนันออนไลน์ จับกุมผู้ต้องสงสัย  ประสานงานเก็บหลักฐานในคดี-แลกเปลี่ยนพยานหลักฐาน-ส่งมอบพยานหลักฐานทางคดีระหว่างกันอย่างเป็นรูปธรรมมีการตกลงเรื่องการส่งตัวผู้ต้องหากลับไปยังประเทศที่ต้องการตัว  อายัดทรัพย์สินนำมาคืนให้กับผู้เสียหาย พัฒนางานประสานคดีข่าวกรองข้ามแดนร่วมกัน-สนับสนุนปฏิบัติการระหว่างภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง แลกเปลี่ยนศึกษาดูแลแพลตฟอร์ม ดูแลเรื่องคลิปโตเอ็กซ์เชนจ์ให้โปร่งใสยุติธรรม

โดยครั้งที่แล้วในการประชุม GBC ได้มีการตกลงกับกัมพูชาแต่ครั้งนี้มี 6 ประเทศ คาดว่าจะมีความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม พร้อมยืนยันกับประชาชนว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะดำเนินการภายใต้รัฐบาล ดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างเข้มข้น เพื่อป้องกันไม่ให้คนไทยตกเป็นเหยื่อ และดำเนินการเชิงรุกทั้งในและต่างประเทศ ร่วมมือกับรัฐบาลและเหล่าทัพปกป้องอธิปไตยของประเทศในทุกมิติ

เรื่องเด่นประจำสัปดาห์